ไร้วาสนา-ไร้อภินิหาร โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

ได้ปล่อยก๊าก ในวันอากาศร้อน-ร้อน ทำให้สบายเนื้อ สบายตัวขึ้นเยอะ

ก๊ากอะไร

ก็ข่าว หลังเสร็จสิ้นภารกิจเยือนไทย ของนายโรดริโก ดูแตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ทันทีที่เท้าแตะพื้นมาตุภูมิ

นายดูแตร์เตประกาศอยากใช้กฎอัยการศึก ทำเอาตะลึงกันทั้งประเทศ ด้วยเหตุผล “(เพราะ)จะทำให้ผมแก้ไขปัญหาอื่นได้ทั้งหมด ไม่จำกัดเฉพาะปัญหายาเสพติด”

พยายามอ่านข่าวต่อจากนั้นอย่างละเอียดและหลายๆ แหล่ง ว่านายดูแตร์เตได้กล่าวถึงแรงบันดาลใจอะไรหรือไม่ จึงประกาศอยากใช้กฎหมายเหล็กที่ว่า

ดีไป เขาไม่ได้ระบุว่า ได้แบบอย่างจากไทย

แต่ก็อดคิด “เพ้อเจ้อ” และปล่อยก๊ากออกมาไม่ได้

หรือประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ติดเชื้อจากไทย แต่ฟิลิปินส์คงไม่มีมาตรา 44 เลยเอาไปเทียบกับกฎอัยการศึกเสียเลย

ขออภัย หากอากาศร้อนจะทำให้ “คิดเรื่อยเปื่อย” ไป

แต่ว่าที่จริงนะ ใครที่มีจิตเอนเอียงไปในทาง “อำนาจนิยม” มาเมืองไทยตอนนี้ คงชอบอกชอบใจ

เพราะผู้มีอำนาจสูงสุดสามารถใช้มาตรา 44 ทำอะไรก็ได้

ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่อยากใช้ หรือใช้ไม่ถนัด ก็ยังมี “อภิหาร” มาเป็นตัวช่วยอีก

อย่างนี้ เหล่า “อำนาจนิยม” จะไม่ชอบใจได้อย่างไร

ยกตัวอย่าง วัดพระธรรมกาย คิดจะจัดการให้ราบคาบ ก็ประกาศใช้มาตรา 44 จัดการ

ขึงขังอยู่ระยะหนึ่ง แต่ดูจะไม่มีอะไรคืบหน้า จนชาวบ้านเริ่มวิพากษ์วิจารณ์

จู่ๆ ก็เกิด “อภินิหาร” มาช่วย

เมื่อมี “สายลับ” ชั้นยอดชี้เป้าจับกุมเครือข่ายโกตี๋ และแจ๊กพ็อตก็แตกเมื่อพบอาวุธสงครามเพียบ

และมีการขยายผลนำไปสู่ข้อมูลที่ว่า เครือข่ายโกตี๋เตรียมจะเป็น “มือที่ 3” ป่วนสถานการณ์วัดพระธรรมกาย ในกรณีที่ฝ่ายรัฐจะ “เคลียร์”

กลายเป็นคำอธิบายให้รัฐบาลมีเหตุผลที่จะไม่ใช้มาตรา 44 เต็มรูปแบบ ยอมถอยกำลังกลับ เพราะไม่ต้องการตกเป็น “เหยื่อ” สถานการณ์

ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้เพิ่มน้ำหนักกรณีโกตี๋ขึ้นไปอีก ด้วยการอ้างว่ามีการข่าวยืนยันว่าเครือข่ายโกตี๋มีเป้าหมายที่จะสังหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อทำลายรัฐบาล

และมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองไปสู่รูปแบบสหพันธรัฐอีก

เครือข่ายโกตี๋กลายเป็น “ศัตรูตัวร้าย” ของประเทศไปเรียบร้อย

แถมยังมีการติดปลาย “ติ่ง” เอาไว้อีกด้วยว่า กำลังขยายผลว่าจะเกี่ยวโยงกับ “ฝ่ายการเมือง” ด้วย

และเริ่มปรากฏชื่อนักการเมืองใหญ่คนนั้น โดยมีคำสารภาพของคนสนิท “โกตี๋” เพิ่มความน่าเชื่อถือ

แค่นี้ก็ทำให้คนพรรคเพื่อไทย นปช. คนเสื้อแดง สะดุ้งโหยง

เพราะขนาดอยู่เฉยๆ ยังถูกไล่เบี้ยไม่เว้นวัน

ทั้งเรื่องภาษี ถอดถอน และเดินเข้าคุกจากคดีเก่าๆ กันเป็นแถว

เจอข้อมูล “อาวุธ” 2 ตู้คอนเทนเนอร์ มิตายหยังเขียดหรือ

ไม่เคยมี “อภินิหาร” มาช่วยเหมือนอีกฝ่ายเสียด้วย

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจ ที่พรรคเพื่อไทยจะดิ้นรนอีกครั้ง แม้จะถูกหาว่าขัดขวางการปรองดองก็ตาม

นั่นคือ เสนอให้มี “คณะกรรมการเป็นกลาง” ขึ้นมาสรุปประเด็นการรับฟังฝ่ายต่างๆ เพื่อนำไปสู่การปรองดอง

แทนที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการฝ่ายรัฐ ที่มีผู้บัญชาการทหารบกและนายทหารระดับสูงเป็นกรรมการสรุปประเด็น

พรรคเพื่อไทยคงรู้ดีว่าผลสรุปจะออกมาแบบไหน และเกิดต้องไปเซ็นสัญญาประชาคมยอมรับ

อาจจะถูกมัดมือมัดแขน จนทำอะไรไม่ได้

จึงรีบดิ้นเสียแต่ต้น

แน่นอน คงถูกถล่มเละอีกว่า “เท้าราน้ำ”

ช่วยไม่ได้ เกิดมาไร้วาสนา ไม่มีกฎหมายพิเศษ หรือ “อภินิหาร” ใดๆ มาช่วย

ก็ต้องดิ้นรนไปตามยถากรรมเช่นนี้แหละโยม