เทคนิคขั้นเทพ!! เลือกแป้งผิวผ่อง…เนื้อต้องดี สีต้องใช่

Beautiful asian woman using cosmetic sponge on face and look mirror at home

ก็เพราะใบหน้าของเราเปรียบเสมือนแคนวาสผืนใหญ่ การจะแต่งหน้าให้สวยดูเป็นธรรมชาติ จึงต้องเริ่มจากการมีผิวหน้าที่เนียนฉ่ำเด้งดูสุขภาพดี ช่างแต่งหน้ามืออาชีพให้ความสำคัญมากกับขั้นตอนการเตรียมผิวและลงรองพื้น เพราะรู้ดีว่านี่คือหัวใจสำคัญของการเมคอัพยุคใหม่ แต่สำหรับสาวๆ ที่ไม่ถนัดการใช้รองพื้น เพราะเกลี่ยไม่เป็น กลัวหน้ามันเยิ้ม และดูหนาโบ๊ะเหมือนโบกปูน ลองเปลี่ยนมาใช้ แป้งผสมรองพื้นยุคใหม่ที่มีคุณสมบัติในการเบลอรูขุมขน ช่วยให้ผิวสวยเนียนผ่อง เกลี่ยง่าย เนื้อแป้งเนียนไปกับผิว สภาพผิวแบบไหนก็เอาอยู่ พกแค่ตลับเดียวก็สวยเนียนใสไร้ที่ติได้ทั้งวัน

ด้วยความที่ แป้งผสมรองพื้นมีส่วนผสมของน้ำมันน้อย  จึงช่วยให้ได้ฟินิชลุคแบบแมตต์ และติดทนนาน  โดยปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ แป้งผสมรองพื้นให้เลือกหลากหลายแบรนด์มาก ตั้งแต่อินเตอร์แบรนด์ ไปจนถึงแบรนด์เครื่องสำอางสัญชาติไทย อย่าง กิฟฟารีน

นอกจากความคุ้มค่าเงินในกระเป๋าแล้ว เทคนิคการเลือก แป้งผสมรองพื้นควรดูจากลักษณะการใช้งานเป็นสำคัญด้วย เช่น ใช้สำหรับป้องกันความมัน  ใช้เติมระหว่างวัน  ใช้ปรับสภาพผิว  ใช้ปกปิดรอยสิว-ฝ้า-กระ  ใช้ฟินิชลุคหลังการแต่งหน้า หรือจะใช้เป็นสกินแคร์ก็ยังได้ ด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่มีการพัฒนาไปถึงขั้นคิดค้น แป้งผสมรองพื้นที่มีสารบำรุงผิวในตัว เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงผิวหน้าไปอีกขั้น ร่วมด้วยนวัตกรรมเนื้อสี (Pigment) บางเบา ช่วยควบคุมความมันได้ดี และเหมาะกับอากาศร้อนชื้น  บางแบรนด์ยังเพิ่มคุณสมบัติป้องกันแดดในตลับเดียว ตอบโจทย์สาวยุคใหม่ที่ชื่นชอบความสะดวกสบาย

ก่อนจะเลือก แป้งผสมรองพื้นควรศึกษาให้ดี เพราะผิวของคนเรามีหลากหลายโทนมาก การเลือก  แป้งผสมรองพื้นให้เหมาะกับสีผิว ถือเป็นศาสตร์และศิลป์ที่สำคัญในการเมคอัพ สำหรับ สาวผิวขาวมาก ควรใช้แป้งผสมรองพื้นอมชมพูเพื่อช่วยขับผิวหน้าให้แลดูเปล่งปลั่งสุขภาพดี  ส่วน สาวผิวขาวเหลือง แนะนำให้เลือกแป้งผสมรองพื้นที่สีใกล้เคียงกับผิว เพื่อป้องกันการขาววอก  จะเป็นโทนเหลือง หรือชมพู ก็ขึ้นกับอันเดอร์โทนของผิว ขณะที่ สาวผิวสองสีหากต้องการผิวกระจ่างใสเป็นธรรมชาติแนะนำให้เลือกสีแป้งผสมรองพื้นที่สีใกล้เคียงกับผิว แต่หากต้องการให้ผิวดูสว่างกว่าผิวหน้าจริงเล็กน้อย ลองเลือก แป้งผสมรองพื้นที่ขาวกว่าผิวหน้าจริงหนึ่งเฉดสี  สำหรับสาวผิวเข้ม แนะนำให้เลือกแป้งผสมรองพื้นที่สีกลมกลืนกับผิว เผยผิวเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ

            ในฐานะผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการความงามและสุขภาพมายาวนาน  และได้พัฒนาแป้งรองพื้นหลากหลายรุ่นมาตลอดระยะเวลา 25 ปี  กิฟฟารีนได้คิดค้นพัฒนา กิฟฟารีน อินโนเวีย ฟลอเลส คอมแพ็ค พาวเดอร์ เอสพีเอฟ 50+ พีเอ++++” ถือเป็นแป้งที่กิฟฟารีนภูมิใจที่สุด ที่สามารถพัฒนาสูตร  แป้งรองพื้นยุคใหม่ได้สำเร็จ  นอกจากจะติดทนนานและปกปิดริ้วรอยได้เนียนกริบไม่แพ้แป้งกิฟฟารีนในรุ่น ก่อนหน้า แป้งกิฟฟารีน อินโนเวีย ฟลอเลสยังถือเป็นแป้งผิวผ่องตัวจริงเสียงจริงเรื่องเนียนใสเป็นธรรมชาติ มีความบางเบาไม่หนักหน้า แถมยังเบลอรูขุมขนและริ้วรอยเนียนสนิท เติมได้ตลอดวันไม่ต้องกลัวมันเยิ้ม ที่สำคัญช่วยบำรุงผิวหน้าด้วย Hyaluron และวิตามิน E พร้อมปกป้องผิวจากแสงแดดเต็มประสิทธิภาพ เรียกว่าใช้แค่ตลับเดียวจบปุ๊บออกจากบ้านได้เลย มีให้เลือก 4 เฉดสีสวย เพื่อผิวผู้หญิงไทยและเอเชีย คือ No.10 PINK GLOW เหมาะกับผิวขาวอมชมพู, No.01 LIGHT เหมาะกับผิวขาวเหลือง  No.02 NATURAL เหมาะกับผิวสองสี และ No.03 HONEY เหมาะกับผิวเข้ม

Beautiful Young asian Woman with Clean Fresh Skin look. Girl beauty face care. Facial treatment. Cosmetology, beauty and spa.

กิฟฟารีน อินโนเวีย ฟลอเลส คอมแพ็ค พาวเดอร์ เอสพีเอฟ 50+ พีเอ++++ปริมาณสุทธิ 11 กรัม ราคา 490 บาท พร้อมจำหน่ายแล้ววันนี้

สั่งซื้อได้ที่นักธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ หรือผ่านทางเว็บไซต์ www.giffarine.com, Line : @giffarinethailand และแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ Shopee และ Lazada.

เกี่ยวกับ กิฟฟารีน

ทุกครั้งที่คุณใช้กิฟฟารีน นั่นคือความรับผิดชอบของเรา…ทุกครั้งที่คุณเชื่อมั่นในกิฟฟารีน นั่นคือ ความภูมิใจของเรากิฟฟารีนก่อกำเนิดจากความมุ่งมั่นของคณะแพทย์ และเภสัชกรที่ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อคุณภาพชีวิตของคนไทย ผ่านการรับรองที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ด้วยปณิธานยึดมั่นในความจริงใจ และความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคอันเต็มเปี่ยม กิฟฟารีนมียอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องอันเกิดจากการวางแผนการตลาดที่มีวิสัยทัศน์ แผนการขายที่มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างความมั่นคงให้แก่นักธุรกิจกิฟฟารีน พร้อมทั้งการสนับสนุนด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพ ในฐานะผู้นำธุรกิจเครือข่ายที่พร้อมจะตอบสนอง และสร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภคในระยะยาว ปัจจุบัน กิฟฟารีนมีโรงงานที่ได้รับมาตรฐานระดับโลก ด้วยเงินลงทุนสูงกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับคนไทยมากที่สุด รวมไปถึงสามารถควบคุมต้นทุนการผลิต ตลอดจนคัดเลือกคุณภาพของวัตถุดิบที่ดีที่สุด.