มือน้อย | ปักกิ่งไม่อิงนิยาย

หญิงสาววางมือลงบนบ่าทั้งสองของผม สัมผัสแผ่วเบา นุ่มนวลจากนั้นค่อยๆบีบและกดซ้ำไปซ้ำมา แล้วค่อยๆเลื่อนลงไปตามข้อแขน บีบและกดไล่ลงจนถึงปลายนิ้ว ผมหลับตาพริ้ม รู้สึกสบายตัว นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่รู้สึกเช่นนี้ ยังไงเสียสัมผัสจากเพศตรงข้ามก็มีเสน่ห์ชวนหลงใหล เมื่อความรู้สึกผ่อนคลาย จิตใจก็เข้าสู่ภวังค์ ล่องลอยไปถึงใครบางคน…

นานมาแล้ว ผมจำได้ว่า เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เย็นย่ำหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากหน้าที่การงาน เธอจะเข้ามาบีบนวดที่หัวไหล่ คลึงและนวดที่กะหม่อม บีบต้นแขน ทำอย่างนั้นจนผมหายเหนื่อย พอนานวันเข้า ความรู้สึกนี้ก็ลืมเลือนและจางหายไป…

หลังจากที่เธอตั้งท้องลูกคนแรกและลูกคนที่สองตามมา ทุกเวลานาทีของเราล้วนไปลงอยู่กับลูก ยิ่งมีลูก 2 คนยิ่งเหนื่อยขึ้นเป็น 2 เท่า ประกอบกับบ้านเราจ้างแม่บ้านเฉพาะวันธรรมดาเช้าไปเย็นกลับ ตกเย็นกลับจากทำงานจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราต้องดูแลลูกๆกันเอง รวมทั้งวันเสาร์และอาทิตย์ แน่นอน… เมื่ออยู่กันมานานวัน ความหวานที่เคยมีเริ่มมีรสขมเข้ามาเจือ จิตใจที่เคยเย็นเคยทนเมื่อสมัยก่อนกลับร้อนรุ่มเหมือนมีไฟเข้ามาสุมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทุกวันนี้จึงมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันตามประสาคนอยู่ด้วยกันมานานกว่า 7-8 ปี จะเรียกว่า สามวันดีสี่วันร้ายคงไม่ผิดนัก

จนกระทั่งผมมีโอกาส ตัดสินใจที่จะเดินทางมาทำงานที่สถานีวิทยุนานาชาติจีน ประจำกรุงปักกิ่ง เป็นเวลา 1ปี เป็นประสบการณ์ชีวิต ความรู้ใหม่ ฯลฯ  ก่อนมาผมกราบลาแม่และญาติผู้ใหญ่ กอดลูกๆและบอกลาเธอ ผมเห็นรอยยิ้มและได้รับคำอวยพรจากเธอ บางครั้งใจผมคิดไปว่า เธอจะนั่งร้องไห้คิดถึงผมบ้างไหม หรือว่าแยกกันซะบ้างก็ดีจะได้ไม่ต้องทนทะเลาะกัน แค่ส่งเงินมาให้ใช้ก็พอแล้ว ผมเองไม่แน่ใจ แต่ผมต้องก้าวต่อไป

ตอนมาอยู่ใหม่ๆ ผมยอมรับว่า คิดถึงบ้าน อยากจะกลับเสียเดี๋ยวนั้น คิดฟุ้งซ่านเป็นห่วงโน่นนี่ไปต่างๆนานา แต่เมื่อวันคืนผ่านพ้น เวลาช่วยรักษาจิตใจให้สงบลง และผมก็เริ่มทำงาน

ผมมาอยู่ที่ปักกิ่งได้หลายเดือนแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายโทรกลับบ้าน เย็นย่ำประมาณทุ่มกว่าๆ ผมจะเดินตรงเข้าไปในสวนสาธารณะของคอนโด นั่งลงที่ริมธารน้ำเล็กๆ มองน้ำในลำธารไหลเอื่อย แล้วกดโทรศัพท์ไปคุยกับลูกชายคนโต คุยกับแม่ จากนั้นขึ้นห้อง ทำโน่นทำนี่เสร็จก็โทรไปหาเธอที่ร้านหนังสือ หลายครั้งที่ยังพูดกันไม่ทันรู้เรื่องก็ต้องวางสายเพราะมีลูกค้ามาเช่าหนังสือ ยิ่งมืดยิ่งมากันมากจนไม่มีเวลาได้พูดคุย บางทีผมเปลี่ยนเวลามาโทรตอนที่เธอกลับบ้าน และทำธุระต่างๆเสร็จ พอจะได้พูดคุยกันบ้าง บางครั้งลูกกวน ร้องงอแง หรือบางทีเธอเองก็เพลีย เราเลยไม่ค่อยได้พูดคุยกันตามประสาผัวเมียเลย บางทีผมนึกเซ็งสุดๆวางสายไปเสียดื้อๆ นึกว่าเธอจะโทรกลับมาหา เปล่าเลย… เงียบสนิท

มันคงเป็นความสัมพันธ์ของคนสองคนที่เมื่ออยู่กันมายาวนาน ต่างคนต่างมีภาระ มีหน้าที่และขวบวัยที่มากขึ้น จะให้เหมือนเดิมคงเป็นไปไม่ได้ บางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่า มีลูกสองแล้วคงลืมไปว่ายังมีสามีอยู่อีกคน คิดได้ดังนั้นได้แต่ปลง

วันเวลาที่ปักกิ่งช่างเชื่องช้า หลายครั้งที่ผมสงสัยว่าโลกหยุดหมุนหรือเปล่า จันทร์ถึงศุกร์ออกจากที่ทำงานทุ่มกว่าเดินกลับห้อง วันเสาร์บางทีเข้าไปทำงานช่วงบ่าย ไม่ได้ขยัน เข้าไปเปิดเน็ต อ่านข่าวเมืองไทย เข้าเอ็มเอสเอ็มคุยกับเพื่อนกับลูกศิษย์บ้างให้คลายเหงา วันอาทิตย์ตื่นสายโด่ง ทำความสะอาดบ้าน นอนอ่านหนังสือจนหลับ ตื่นมาอาบน้ำอาบท่า ออกไปเดินเตร่บนท้องถนนในกรุงปักกิ่ง

มาใหม่ๆผมเดินใกล้ๆที่พักกับที่ทำงาน นั่งเล่นในสวนสาธารณะ พอนานเข้าผมลงรถไฟใต้ดิน นั่งมันไปเรื่อย ไปซีตันย่านการค้า มีสินค้าวัยรุ่นมากมายคล้ายมาบุญครอง ไปจัตุรัสเทียนอัน เหมิน ยืนอยู่หน้าพระราชวังต้องห้าม เดินไปดูโรงละครรูปไข่มุกยักษ์ที่กำลังจะสร้างเสร็จ ผมเดินคนเดียวท่ามกลางชาวจีนและชาวต่างชาติมากหน้าหลายตา ไม่รู้ทั้งภาษาจีนและอ่อนแอภาษาอังกฤษ

ผมมองเห็นหนุ่มสาวชาวจีนเดินเคล้าคลอเคียงคู่ เห็นพ่อแม่ลูกจูงมือกันไปเที่ยว สุดท้ายได้แต่ถอนใจ ไม่ว่าชนชาติไหนก็ต้องการความรักและการมีชีวิตอยู่ร่วมกันทั้งนั้น แต่พออยู่ด้วยกันกลับทะเลาะกัน เบื่อกัน บางทีผมไม่เข้าใจ แต่พอมาเดินท่อมๆอยู่คนเดียวในยามนี้กลับคิดถึงเธอและลูกๆเหลือเกิน…

 

ตั้งแต่มาอยู่ปักกิ่ง เริ่มต้นด้วยการหาที่พัก ไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจ ไปศูนย์ตรวจสุขภาพคนต่างด้าว เข้าออกห้างสรรพสินค้า ฯลฯ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมยังไม่ได้ทำเสียที นั่นคือการเข้าร้านตัดผม ทั้งๆที่จากคอนโดเดินมาถึงที่ทำงานมีร้านตัดผมอยู่มากมาย ร้านทำผมที่นี่ไม่มีแบ่งแยกว่าเป็นร้านผู้ชายหรือผู้หญิงเข้าไปใช้บริการได้เหมือนกันหมด แต่ละที่ตบแต่งทันสมัยคล้ายๆร้านทำผมตามห้างของบ้านเรา บางร้านมีขนาดแค่ห้องแถวเดียว มีช่างอยู่คนเดียวหรือสองคน บางร้านใหญ่ขนาด 2-3 ห้อง มีทั้งช่างตัดและช่างสระหลายคน

ความจริงผมน่าจะเข้าไปตัดผมให้มันดูเรียบร้อยตั้งนานแล้ว แต่ด้วยความปล่อยปะละเลย ช่างมัน… อยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้จะตัดไปทำไม ปล่อยเลยตามเลยให้ผมมันยาวจนดูไม่เป็นรูปเป็นทรง เส้นผมด้านข้างยาวออกมาทิ่มใบหูและข้างหลังก็ยาวลงมาไล้เลียต้นคอ

จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่ง เป็นบ่ายวันเสาร์ที่อากาศขมุกขมัวเพราะฝนตกลงมาตั้งแต่เช้าและเพิ่งจะหยุดเมื่อไม่นานนี้ ผมออกจากห้องพักตั้งใจจะเข้าไปเปิดเน็ตนั่งเล่นที่ทำงาน พอเดินผ่านร้านทำผมร้านหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับทางข้ามถนนที่จะไปยังที่ทำงาน ร้านนี้เป็นร้านใหญ่พอควร ตบแต่งทันสมัย มีช่างอยู่หลายคน และดูสะอาดน่าเข้า ผมมองเข้าไป วันนี้ไม่มีลูกค้าเลย

ผมหยุดยืนนิ่ง ไม่ก้าวข้ามถนน หันกลับเดินตรงเข้าไปในร้าน มีพนักงานสาวยืนอยู่หน้าร้าน เธอเป็นสาวหมวยร่างเพรียว ผิวขาวตามเชื้อชาติ เธอยิ้มให้ผมตั้งแต่เดินเข้ามาและพูดอะไรออกมาไม่ทราบ ผมรู้เพียงคำเดียวว่า หนีห่าว แปลว่า สวัสดี ผมมองหน้าสาวหมวยแล้วพูดขึ้น

“หลี่ฟาสี่โถว” คือ ตัดผมและสระผม ซึ่งจำมาจากเพื่อนที่ทำงานช่วยสอนให้ จากนั้นหญิงสาวพูดอะไรออกมาอีก ผมยิ้มและกล่าวย้ำคำเดิม โบกมือเป็นเชิงบอกไม่เข้าใจ พร้อมกับบอกเป็นภาษาอังกฤษไปว่า ผมไม่เข้าใจที่เธอพูดหรอก เธอร้องอ๋อและยิ้ม ผายมือพาผมเดินไปยังที่นั่ง ผมนั่งลง หญิงสาวจัดแจงเอาผ้าเช็ดตัวมาปิดด้านหน้าและด้านหลังตัวผม จากนั้นหยดน้ำใสๆข้นๆ ผมคิดว่าคงเป็นแชมพูแต่ทำไมไม่ไปนอนสระ แล้วก็เป็นดังคิด เธอสระและนวดผมให้ เธอพูดอะไรออกมาอีก ผมไม่ทราบ ได้แต่ยิ้มและพูดว่า

“ผมเป็นคนไทย” พูดภาษาอังกฤษและพูดต่อ “ไทกั๋ว   ไทกั๋ว” ผมเน้นเสียง

“อ้อ… ไทกั๋ว” เธอว่ายิ้มๆ หัวเราะขำๆ

อ่าว… ขำอะไรละ อาหมวย ผมไม่ได้พูด ได้แต่คิดอยู่ในใจ

เธอเช็ดแชมพูบนหัวออก จากนั้นก็เทลงไปใหม่และนวดต่อ ผมรู้สึกสบาย นั่งหลับตา ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้ว อาบน้ำสระผมเองก็ทำลวกๆพอให้มันสะอาด นวดผมได้สักพักเธอยื่นหน้าเข้ามาพูดเหมือนกระซิบ ผายมือให้ผมลุกขึ้นและเดินตามไป เธอพาไปล้างผมที่เตียง จากนั้นกลับมาที่เดิม เช็ดหัว และบีบนวดตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายนิ้ว มือน้อยของเธอช่วยให้ผมรู้สึกสบาย ไออุ่นจากผิวสัมผัสคลายความเปลี่ยวเหงาและโดดเดี่ยว

ผมหลับตา คิดถึงบ้าน อยากกลับไปหาคนที่รัก ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า รักกัน ดีต่อกันและเลิกทะเลาะเบาะแว้งกัน ยามค่ำคืนในปักกิ่ง ผมมักจะฝันบ่อยๆ บางคืนฝันเห็นภรรยาสมัยที่รู้จักกันใหม่ๆ เธอสวมชุดยาวที่ผมซื้อให้เป็นของขวัญและเราไปเที่ยวด้วยกันอย่างมีความสุข บางคืนเห็นลูกชายคนโตกระโดดเข้ามาหา ทำท่าไอ้มดแดงเตรียมพุ่งเข้าใส่ เห็นแม่ของผมอุ้มลูกสาวคนเล็กมาส่งให้เวลาที่ผมกลับจากทำงาน สุดท้ายผมลืมตาตื่นแล้วต้องเอามือปาดที่ขอบตาทุกครั้งไป ผมไม่อยากฝันแต่ห้ามไม่ได้ แต่คราวนี้แตกต่างออกไป ผมตั้งใจที่จะหลับและฝัน

ผมกำลังบินกลับบ้าน….

หญิงสาวพูดอะไรออกมาอีก ผมค่อยๆลืมตา สงสัยผมจะงีบหลับไปจริงๆ เห็นเธอยืนยิ้มและผายมือให้ผมไปนั่งอีกที่หนึ่ง มีชายหนุ่มเข้ามาตัดผม เขาทำท่าเป็นเชิงถามว่า จะตัดสั้นหรือยาว ผมทำมือตอบเขาไปเช่นกัน ตัดผมเสร็จกล้างผมจากนั้นก็มาไดร์ เสร็จเรียบร้อยผมเดินมาที่โต๊ะแคชเชียร์จ่ายเงินไปตามราคาที่ดูจากเครื่อง 15 หยวนหรือประมาณ 70 บาท ซึ่งถือว่าถูกมากถ้าเทียบกับบ้านเรา ก่อนออกมาหญิงสาวที่สระและนวดให้ออกมายืนส่งที่หน้าร้าน

“เซี่ย เซี่ย” เธอกล่าวขอบคุณ ผมยิ้มให้ และกล่าวคำเดียวกันออกไป

ผมเดินไปที่ทำงาน รู้สึกสบายหัวขึ้นเป็นกอง เข้าไปเปิดเน็ตอ่านข่าวและเล่นเอ็มเอสเอ็น มีงานมาให้ดูบางนิดหน่อย ประมาณหกโมงเย็นผมออกจากที่ทำงานแวะทานมื้อเย็นและเดินกลับที่พักตามปกติ วันนี้ผมโทรกลับไปบ้านดึกหน่อย ตั้งใจว่าให้เธอกลับมาจากร้านและทำกิจวัตรต่างๆเรียบร้อยค่อยโทรไป จะเล่าเรื่องเข้าร้านตัดผมครั้งแรกในเมืองจีนให้ฟัง ผมยกหูโทรศัพท์

“เป็นไง” ผมทักน้ำเสียงแจ่มใส

“เปล่า ไม่เป็นไงหรอก” เธอตอบเสียงสั่น ผมรีบถาม

“เป็นอะไรรึเปล่า…” ผมเงียบก่อนพูดต่อ “ร้องไห้ทำไมนะ”

“เปล่า…  ไม่ได้เป็นอะไร” เธอเงียบและพูดต่อ “คิดถึงตัวนะ”

ผมเงียบพูดไม่ออก

“ตัวไม่อยู่ เขาก็เหงา เมื่อก่อนเคยอยู่ด้วยกัน ตอนนี้มีแต่ลูกๆ” เธอสะอื้นไห้

”ตอนดึกๆ ที่ร้านเคยมารับทุกวัน ตอนนี้อยู่คนเดียว เก็บร้าน แล้วขับรถกลับคน

เดียว…”   ในที่สุดเธอก็พูดออกมา แต่ผมกลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด มือถือโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น

“ขอโทษ   ความจริงฉันไม่น่า…   ฉันคิดถึงเธอและเหงามาก… ” ผมค่อยๆพูด และพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ แต่นั่นแหละ ใครจะทนได้ ความเหงา ความคิดถึงและห่วงหาก็คือความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง

ในที่สุดเราก็เปิดใจพูดคุยกัน ความห่างไกลทำให้เราคิดถึง เป็นห่วง และมองเห็นคุณค่าของกันและกัน ความจริงในความรู้สึกลึกๆแล้วทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ผมบอกเธอไปว่า ตอนนี้เธอเป็นทั้งพ่อและแม่ของลูก ขอให้อดทน ปีเดียวไม่นานเท่าไหร่

เธอวางสายไปแล้ว ผมนอนลืมตาโพลงในความมืด ได้ยินเสียงฟ้าแลบแปลบปลาบ แต่ฝนกลับไม่ลงเม็ด ปีเดียวไม่นานเท่าไหร่ ผมได้แต่นึกอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา พยายามข่มตาให้หลับ แต่ใจมันไม่ยอมหลับเสียที  เฮ้ย… คิดถึงเรื่องตัดผมวันนี้ดีกว่า  คิดถึงมือน้อยๆของอาหมวย… จะได้หลับสบาย…  สุดท้ายผมก็หลับ…

ผมค่อยๆลืมตาตื่น แสงแดดส่องลอดผ้าม่านหน้าต่างระเบียงเข้ามาที่หัวเตียง วันนี้เป็นวันอาทิตย์ไม่ต้องไปทำงาน เหลือบดูนาฬิกา เกือบสิบโมง  ค่อยๆขยับลุกจากที่นอน ยืนขึ้นบิดขี้เกียจไปมา แต่แล้วกลับรู้สึกเจ็บแปลบที่ต้นคอ ลองเอียงคอไปทางซ้าย เจ็บและหันไม่ถนัด  เอ…เป็นอะไร หรือเมื่อคืนนอนตกหมอน

เมื่อลองนึกทบทวนดู ภาพต่างๆค่อยๆปรากฏ ชัดขึ้นๆ  เมื่อคืนผมฝันไปว่า ผมกลับไปบ้านและเธอก็เข้ามาบีบนวดให้ผมเหมือนอย่างเคย นวดเบาๆที่ไหล่ บีบขมับและต้นคอ แต่แล้วกลับหนักขึ้น แรงขึ้น พร้อมกับพูดเสียงเข้มๆ

“เป็นไง…ชอบนักใช่ไหม มือน้อยๆ นุ่มๆ ของอาหมวยนะ”