เรื่องสั้น : เปรตเดือนสิบเอ็ด

 

อาตมาบวชที่วัดแห่งนี้ตั้งแต่เข้าพรรษาที่ผ่านมา พร้อมๆ กับพระใหม่อีกสองรูป โดยมีหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดวัยหกสิบกว่าเป็นพระอุปัชฌาย์ “ปัญญาวโร” แปลว่าผู้เปี่ยมด้วยปัญญา คือฉายาที่ได้รับต่อท้ายชื่อ ที่ตั้งใจเลือกวัดแห่งนี้จำพรรษาเพราะอยู่ห่างจากบ้านพ่อแม่ แม้จะอยู่ในจังหวัดเดียวกัน อาตมาอยากอยู่ในผ้าเหลืองศึกษาพระธรรมวินัยอย่างสงบ ไร้คนรู้จักให้วุ่นวาย

วัดแห่งนี้มีกุฏิห้าหลัง สี่หลังของพระลูกวัดเรียงรายกันไปจนถึงแนวคลอง กับอีกหนึ่งหลังของเจ้าอาวาสซึ่งแยกตัวออกจากสี่หลังแรกมาทางหอฉันอย่างเอกเทศ อาตมาค่อนข้างแปลกใจอยู่มิใช่น้อยที่วัดแห่งนี้แทบจะไม่มีพระเก่าอยู่เลย นอกจากเจ้าอาวาสกับ “พระโชติ” ที่ดูจะแก่พรรษาชราภาพกว่าหัววัด ซึ่งกุฏิอยู่ริมคลอง ทั้งที่วัดยังคงสภาพดีไม่ได้ชำรุดทรุดโทรม มีญาติโยมเข้าออกอยู่ทุกเทศกาลวันสำคัญทางพุทธศาสนาไม่ขาดสาย

ห้วงเวลาในร่มกาสาวพัสตร์ค่อยๆ คืบคลาน จากวันเป็นเดือน อาตมาได้รับการดูแลสั่งสอน อบรมขัดเกลากิเลสมุ่งสู่หนทางแห่งการดับทุกข์จากหลวงพ่อเจ้าอาวาสผู้เปี่ยมเมตตาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่น่าเลื่อมใสศรัทธา เหมือนเช่นที่ได้ยินได้ฟังมาก่อนหน้านี้เสียจริง อาตมาตัดสินใจไม่ผิดเลยที่มาบวชวัดแห่งนี้

อาตมาออกจากวัดแต่เช้าตรู่พร้อมกับ “พระต้น” ซึ่งบวชพร้อมกันอย่างเช่นทุกวัน อาตมากับพระต้นไม่เคยรู้จักกันมาก่อน พระต้นเป็นรุ่นน้องอาตมาสองปี มีภูมิลำเนาอยู่ใกล้ๆ วัดแห่งนี้ จะเรียกว่า “เจ้าถิ่น” ก็คงไม่ผิดนัก อาตมารู้สึกถูกชะตากับพระต้นจึงค่อนข้างสนิทสนมกันเร็ว บรรดาพระในวัด พระต้นจึงเป็นคนที่คุยกันได้แทบจะทุกเรื่อง แม้ในวัดจะมี “พระนุ้ย” ซึ่งเป็นพระบวชใหม่อีกรูป ทว่า พระนุ้ยไม่ค่อยสุงสิงกับใครในวัด ชอบเก็บเนื้อเก็บตัว ดูเป็นคนสลัดคราบหนุ่มเจ้าสำอางไม่ออกแม้จะอยู่ในผ้าเหลืองแล้ว

เราออกรับบิณฑบาตแถวย่านร้านตลาดไกลจากวัดออกไปราวสองกิโลเมตร ส่วนพระโชติกับพระนุ้ยแยกย้ายกันไปอีกสาย ซึ่งระยะทางใกล้กว่า ในขณะที่เจ้าอาวาสงดออกบิณฑบาตมาตั้งแต่วัดมีพระบวชใหม่

ใกล้เดือนสิบเข้ามาทุกขณะ ชุมชนที่เดินผ่านคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมาจับจ่ายซื้อหาข้าวของสำหรับจัดเตรียมเป็นสำรับไปวัด ทั่วทั้งตลาดดาษดื่นไปด้วยขนมเดือนสิบ ห้าอย่าง อันประกอบด้วย ขนมพอง ขนมลา ขนมดีซำ ขนมกง และขนมบ้า นอกจากนั้น ยังมีขนมเทียนรวมทั้งผลไม้อีกหลากหลายชนิด

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง พระสงฆ์ สามเณรที่จำพรรษาตามวัดและสำนักสงฆ์ต่างๆ จะร่วมไม้ร่วมมือกันพัฒนา ทำความสะอาดวัด ศาสนสถาน ตระเตรียมความพร้อมไว้รอรับญาติโยมที่จะเดินทางมาทำบุญในวันสารทเดือนสิบอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเช่นทุกปีที่ผ่านมา

เสียง มง เท่ง มง…อันแสนเร้าใจ แว่วมาจากนอกกำแพงวัดในช่วงสายของวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ส่งสัญญาณว่าบุญหลังหรือบุญใหญ่ของชาวปักษ์ใต้เวียนมาอีกครั้ง งานบุญประเพณีที่สำคัญยิ่งนี้รู้จักกันดีในพื้นที่ว่า “วันส่งตายาย หรือ วันส่งเปรต” หลังจากรับตายายหรือรับเปรตมาเมื่อวันแรม 1 ค่ำเดือน 10 ไม่ว่าลูกหลานหรือญาติพี่น้องคนในครอบครัวจะไปทำงานอยู่แห่งหนตำบลใด มักจะต้องลาหยุดงานเดินทางกลับบ้านเกิด เพื่อมากราบไหว้พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย และผู้ที่เคารพนับถือเพื่อแสดงออกถึงความกตัญญูรู้คุณ รวมทั้งได้ทำบุญให้บรรพชน พร้อมกับส่งตายายกลับสู่ยังนรกภูมิ

หุ่นทองสูงผู้ชายหนึ่งผู้หญิงหนึ่ง ข้างในเป็นโครงไม้ไผ่สูงใหญ่แต่งตัวคล้ายคนจริง มีคนเชิดอยู่ข้างในกำลังเดินยงโย่ยงหยกมาแต่ไกล มือไม้ที่แกว่งไกวสะเปะสะปะตามจังหวะ พร้อมกับขบวนกลองยาวที่ชักแถวเข้ามาในวัดดูน่ากลัวจนลูกเด็กเล็กแดงร้องกันกระจองอแง เสมือนเป็นผีปู่ย่าตายายหรือญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วกลายสภาพเป็นเปรตมาร่วมขอส่วนบุญด้วย

หลังพิธีพระและถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ชาวบ้านจะทยอยกันยกสำรับกับข้าว ขนมนมเนย ที่เรียกว่า “หมฺรบ” มาวางรวมกันตั้งเปรตเพื่อแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ตามด้วยพระสงฆ์สวดบังสุกุล หลังจากเสร็จสิ้นพิธีกรรม การชิงเปรตจึงค่อยเริ่มขึ้นด้วยความสนุกสนาน มีความเชื่อว่าหากใครได้กินอาหารบนหลาเปรตจะได้กุศลแรง เป็นมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ถือเป็นอันเสร็จสิ้นบุญสารทเดือนสิบ

วันส่งเปรตกำลังจะผ่านพ้นไปอีกปี ค่ำคืนนั้นบรรยากาศภายในวัดช่างสงัดเงียบและแสนเยียบเย็น ความวังเวงเข้าแผ่คลุมหนักหน่วงกว่าทุกคืน จนได้เวลาหมาหอนรับส่งกันเป็นทอดๆ ทั้งในและนอกรั้ววัด อาตมาได้แต่ข่มตาท่องบทสวดในคู่มือทำวัตร และจำวัดอยู่ในกุฏิจนฟ้าสาง ตั้งแต่บวชมา นี่จึงเป็นเพียงคืนเดียวที่ไม่ออกไปกรวดน้ำ อาตมาหาได้กลัวผีเปรตหรอกนะ แต่ที่กลัวคือสิ่งที่มองไม่เห็นต่างหาก…

กว่าอาตมาจะได้ออกมากรวดน้ำในคืนถัดมาก็ปาเข้าไปตีหนึ่ง เพราะรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวปวดเนื้อปวดตัวมาตั้งแต่ช่วงเย็น เผลอจำวัดไปนานกว่าเวลาปกติ ตื่นมาอีกทีไฟทุกดวงในวัดปิดสนิท ท้องฟ้ามืดมิดเพราะเป็นคืนขึ้น 1 ค่ำ เหลือแต่ไฟแรงเทียนต่ำวับแวมหน้ากุฏิหลวงพ่อเพียงดวงเดียว อาตมาค่อยๆ เดินลงจากกุฏิ เทียนไขในมือซ้ายวูบไหวด้วยลมดึกหยอกเย้า น้ำในแก้วกระเพื่อมเพราะไม่อาจทานแรงสั่นของมือขวา แม้จะบวชมาเกินครึ่งพรรษาแล้ว แต่ไม่วายขนลุกซู่ทุกคืนที่ออกมาจากกุฏิในยามวิกาล

เสร็จจากกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ทุกสรรพชีวิตที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ตรงโคนต้นประดู่ริมคลองอย่างเช่นทุกคืน ขณะลุกออกมาจากร่มประดู่ อาตมาหันไปเห็นคนกำลังลุกลี้ลุกลนออกมาจากกุฏิเจ้าอาวาส อาตมาหยุดนิ่งชั่วครู่ ก่อนถอยกลับมาหลบตรงโคนประดู่อีกครั้ง … ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเร่งฝีเท้าหลบออกไปทางประตูวัดด้านข้างใกล้ๆ เมรุ

สิ่งที่เห็นเมื่อคืนทำให้ยังสนเท่ห์ไม่หาย อาตมาไม่ได้ตาฝาดไปแน่ๆ มีผู้หญิงเดินออกมาจากกุฏิหลังนั้นจริงๆ แต่เธอคนนั้นเป็นใครกัน แล้วความคิดก็พลันต้องหยุดลง…

“พระเอก…เข้าไปเอาแว่นตาในกุฏิให้อาจารย์หน่อย วางอยู่ใกล้ๆ หมอนตรงที่นอนนะ” เสียงเจ้าอาวาสเรียกชื่ออาตมาขึ้น ขณะพระทุกรูปมารวมกันอยู่ในโบสถ์ เพื่อช่วยกันนับยอดเงินในตู้รับบริจาคจากงานเดือนสิบปีนี้

“ได้ครับอาจารย์” อาตมาตอบรับ หลังจากดึงสติสตังค์กลับมา

เป็นครั้งแรกที่อาตมาได้เข้าไปในกุฏิของเจ้าอาวาส อันที่จริงสภาพภายนอกก็ไม่ได้ต่างจากกุฏิอื่นๆ เท่าใดนัก เพียงแต่พื้นที่ใช้สอยกว้างขวางกว่า แต่ภายในกุฏิซึ่งน้อยคนนักจะได้รับอนุญาตให้เข้ามา กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กุฏินั้นมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งโทรทัศน์จอแบน เครื่องเล่นดีวีดี ตู้เย็น คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก รวมทั้งตู้นิรภัยใบเขื่อง

อาตมาไม่รอช้า ตรงไปบริเวณที่จำวัดของท่าน นั่งคุกเข่าลงข้างฟูกสีขาวสะอาดตา ข้างหมอนมีโทรศัพท์สมาร์ตโฟนรุ่นดังวางอยู่เครื่องหนึ่ง ใกล้ๆ กันเห็นแว่นตาโผล่ออกมาจากใต้หมอนเพียงครึ่งหนึ่ง อาตมาเลิกหมอนขึ้น ไม่ผลีผลามคว้าออกมาเกรงแว่นจะเป็นรอย ขณะที่เอื้อมมือหยิบ ชำเลืองเห็นของบางอย่างวางอยู่ใกล้ๆ แผงอะลูมิเนียมสี่เหลี่ยมประมาณฝ่ามือนั้น มีเม็ดยารูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดสีฟ้าเข้มเหลือคาในแผงอีกสองเม็ด แทบไม่เชื่อสายตา อาตมาเคยเห็นในอินเตอร์เน็ต…

อาตมาค่อยๆ วางหมอนลงที่เดิม แล้วรีบเอาแว่นตากลับออกมาจากกุฏิทันที

เจ้าอาวาสบันทึกสรุปรายรับ-รายจ่ายอย่างแคล่วคล่องลงในสมุดบัญชี แยกเงินส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายของวัดเอาไว้ แล้วนำเงินสดที่เหลือไปเก็บในกุฏิ หลังจากนั้น พระที่เหลือเริ่มทยอยลุกตามออกไป ในขณะอาตมายังคงนั่งครุ่นคิดถึงสองสิ่งที่ยังคงวนเวียนอยู่หัว…สีกากับไวอะกร้า

“พระเอก..เป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้ดูแปลกๆ” พระต้นโพล่งขึ้น ทำเอาอาตมาสะดุ้งโหยง

“ปละ เปล่า…ไม่มีอะไร ไปกวาดลานวัดกันดีกว่า ทั้งขยะทั้งใบไม้เกลื่อนเลย” อาตมาเสชวนพระต้น

คํ่าคืนต่อมาหลังทำวัตรเย็น ราวสามทุ่มพระโชติลากสังขารมาหาอาตมาที่กุฏิ บอกว่าอาการไม่ดีตั้งแต่ช่วงบ่าย ถ่ายเหลวเป็นโจ๊กมาหลายหน สลับกับอาเจียนจนหมดไส้หมดพุงและเริ่มมีไข้ อาตมารีบประคองพระโชติกลับไปยังกุฏิ ก่อนจ้ำเดินไปขอยาแก้ท้องเสียที่กุฏิเจ้าอาวาส แต่กลับพบว่าในกุฏิมืดสนิท มีเพียงไฟสลัวรางหน้ากุฏิเปิดไว้เพียงดวงเดียว พยายามตะโกนเรียกหลายครั้งแต่กลับไม่มีเสียงตอบใดๆ

อาตมาย้อนกลับมายังกุฏิของพระต้นหลังที่อยู่ถัดมา ได้ผงน้ำตาลเกลือแร่ติดกุฏิมาสองซอง พระต้นบอกราวสองทุ่มมีรถกระบะมาจอดหน้ากุฏิเจ้าอาวาส สักพักเห็นผู้ชายใส่หมวกแก๊ป สวมเสื้อแขนยาวสีแดง นุ่งกางเกงยีนส์ ลุกลี้ลุกลนขึ้นรถด้านข้างคนขับ ก่อนที่รถจะบึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว…

อาตมากับพระต้นหลับๆ ตื่นๆ สลับกันเฝ้าดูอาการพระโชติจนรุ่งสาง ก่อนกลับไปยังกุฏิหลังใหญ่อีกครั้ง ทว่า คราวนี้เรียกเพียงสองสามคำ เจ้าอาวาสก็พาร่างสะโหลสะเหลเปิดประตูกุฏิออกมา

“อ้าว อาจารย์อยู่ข้างในหรอกเหรอครับ” อาตมาแปลกใจไม่น้อย

“นี่มันยังเข้าพรรษาอยู่ ตามพระธรรมวินัยจะออกไปไหนได้เล่า” เจ้าอาวาสขยี้ตารับแสงแดด “มีอะไรแต่เช้ามืด ไม่ออกบิณฑบาตหรือ?”

“เช้านี้มีเพียงพระต้นกับพระนุ้ยออกไปบิณฑบาตครับ เมื่อคืนพระโชติถ่ายท้องทั้งคืนเลย อาเจียน แล้วก็มีไข้ด้วย เราน่าจะพาท่านไปโรงพยาบาลนะครับ” ผมพยายามเล่าอย่างรวบรัด

“ไหนๆ พาไปดูซิ เป็นอะไรมากไหม” หลวงพ่อกุลีกุจอออกตัวเดินนำไปยังกุฏิริมคลอง ขณะอาตมาเดินตามหลังไป ได้กลิ่นเหล้าโชยมาแตะจมูกเป็นระยะ พร้อมกลิ่นควันบุหรี่บางเบา อาตมาเชื่อแล้วว่า…คนที่ไม่ดื่มเหล้าและไม่สูบบุหรี่จมูกมักจะไวกับสองสิ่งนี้เป็นพิเศษเสมอ

“พระเอก…ช่วยไปเอาย่ามยาในกุฏิมาให้ที” เจ้าอาวาสหันมาไหว้วาน พร้อมกำชับ “แขวนอยู่ใกล้ๆ ตู้เย็น”

เป็นครั้งที่สองที่อาตมาได้เข้าไปในกุฏิแห่งนี้ แต่ครั้งนี้กลับไม่เหมือนครั้งแรก น่าแปลกที่บรรยากาศภายในอบอวลไปด้วยกลิ่นเหล้าและกลิ่นควันบุหรี่ นั่นคงเป็นย่ามใส่ยา อาตมาเห็นย่ามผ้าสีขมิ้นแขวนอยู่เหนือตู้เย็น ขณะสาวเท้าเข้าไปเอื้อมคว้าย่ามยา สายตาพลันเห็นอะไรบางอย่างซุกอยู่ด้านหลังตู้เย็น

อาตมาชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ๆ เอื้อมมือหยิบสิ่งของเหล่านั้นด้วยความใคร่รู้… เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีแดง กางเกงยีนส์ และหมวกแก๊ป ควันบุหรี่กับแอลกอฮอล์ยิ่งส่งกลิ่นคละคลุ้ง…

แม้จะเข้าสู่เดือนสิบเอ็ดหลายวันแล้ว แต่พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ช่างมากมายเกินศึกษาได้ครบถ้วนในเวลาเพียงสามเดือน อาตมารู้สึกราวกับเพิ่งบวชได้เพียงไม่กี่วัน ความรู้สึกต่างๆ เมื่อได้ครองผ้าเหลืองยังคงเหมือนกับวันแรกที่บวช เว้นแต่ความรู้สึกเคารพศรัทธาของอาตมาต่อพระอุปัชฌาย์ แน่นอน…ไม่มีวันที่อาตมาจะแพร่งพรายเรื่องราวอัปยศที่ได้พบเจอในวัดแห่งนี้ให้ศาสนาเสื่อมเสีย แม้ว่าแท้จริงแล้วศาสนาพุทธยังคงบริสุทธิ์ ไม่เคยเสื่อม แต่คนที่แฝงตัวเข้ามาในคราบสาวกของพระพุทธองค์ต่างหากที่เสื่อม หลังจากวันนั้นอาตมาสังเกตเห็นว่าเจ้าอาวาสเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น และไม่มีใครได้เข้าไปในกุฏินั้นอีกเลย

เป็นอีกคืนที่อาตมาออกมากรวดน้ำช้ากว่าที่เคย เพราะผล็อยหลับด้วยอ่อนล้าจากการช่วยพระต้นหักร้างถางพงริมรั้ววัดเมื่อช่วงเย็น แล้วอาตมาก็เห็นความผิดปกติในวัดเข้าอีกจนได้ นั่นใครทำลับๆ ล่อๆ ย่องออกมาจากกุฏิพระนุ้ย นี่มันจะตีสองแล้ว อาตมาดับเทียนไขในมือ อำพรางตัวอยู่ในความมืด อ้าวนั่น…เจ้าอาวาส มาทำอะไรที่กุฏิพระนุ้ยดึกดื่นอย่างนี้

ก่อนออกบิณฑบาตในวันต่อมา อาตมาเล่าสิ่งที่พบเจอในคืนก่อนให้พระต้นฟัง พระต้นจึงแง้มให้ฟังว่า พระนุ้ยเคยเป็นรุ่นน้องโรงเรียน แต่ไม่ค่อยสนิทกันนัก กระทั่งห่างๆ กันไปหลังจบการศึกษาชั้นมัธยม มาได้ข่าวอีกทีก็ตอนที่เขาไปเป็นนางโชว์สาวประเภทสองอยู่ที่ภูเก็ต จนหลายปีผ่านไป มาเจอกันอีกทีก็ตอนมาบวชอยู่วัดเดียวกัน ได้ฟังถึงตรงนี้ อาตมาก็ไม่อยากจะคิดอะไรต่อไปอีก สมองมึนตื้อไปหมด

กลับจากบิณฑบาตวันนั้น อาตมากับพระต้นแวะเข้าไปดูอาการพระโชติที่เช้านี้ยังออกไปบิณฑบาตไม่ได้ ต้องปล่อยให้พระนุ้ยออกไปเพียงลำพัง

“อาการดีขึ้นไหมครับหลวงพ่อ” อาตมาสัมผัสแขนพระโชติที่หน้าตายังดูซีดเซียว

“ค่อยยังชั่วแล้ว ยาของท่านหัววัดนี่ดีจริง” พระโชติยิ้มบางๆ “เอ่อ แล้วนี่พระนุ้ยยังไม่กลับมาหรือ”

“น่าจะอยู่ที่โรงฉันมั้งครับ ประเดี๋ยวผมแบ่งสำรับมาให้หลวงพ่อฉันที่กุฏิดีกว่านะครับ” พระต้นอาสา ก่อนจะปลีกตัวออกไปก่อน

“จริงสิ พระนุ้ยแกเป็นอะไรหรือเปล่า เมื่อคืนหลวงพ่อได้ยินเสียงร้องครวญครางแว่วๆ อย่างกับถูกเชือดหรือถูกอะไรทิ่มแทง…” พระโชติพูดด้วยเสียงแหบแห้ง เมื่อพระต้นให้หลัง

“เอ หรือว่าจะฝันร้าย แล้วเผลอละเมอ”

ตะวันโด่งแล้ว พระสี่รูปเพิ่งกลับจากบิณฑบาต กำลังง่วนช่วยกันจัดสำรับเพื่อฉันเช้า เมื่อคืนอาตมาข่มตาหลับไม่ลงทั้งคืน ไม่ใช่เพราะเสียงตะโพนที่แว่วดังมาจากอีกวัด ส่งสัญญาณว่าใกล้จะออกพรรษาเต็มที แต่หวนคิดถึงวันแรกที่ได้บวชเป็นพระสงฆ์ วันแห่งความปลื้มปีติของครอบครัว วันที่ได้ลด ละ เลิก กิเลสจากทางโลก จำได้ว่าวันนั้นท่านเจ้าอาวาสกำชับนักกำชับหนาว่า “ถ้าจะออกจากกุฏิมากรวดน้ำหรือทำภารกิจใดๆ ยามวิกาล ขอให้เสร็จก่อนเที่ยงคืน หลังจากนั้นห้ามออกมาจากกุฏิเป็นอันขาด แถวละแวกวัดนี้ค่อนข้างเปลี่ยว มันอันตราย” อาตมาเพิ่งเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรก็วันนี้

ชาวบ้านส่งเปรตกลับภพภูมิที่ควรอยู่ไปหลายวันแล้ว แต่ตอนนี้อาตมายังเห็นเปรตตัวหนึ่งเดินอาดๆ ออกมาจากกุฏิหลังใหญ่สุดของวัด มุ่งหน้ามาทางโรงฉัน ผ้าเหลืองไม่อาจเปลี่ยนให้ “คนดิบ” กลายเป็น “คนสุก” ได้ทุกคน

อาตมาเริ่มนับถอยหลังรอกลับสู่การเป็นฆราวาสธรรมดาๆ คนหนึ่งอีกครั้ง…