ขอบคุณข้อมูลจาก | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 มิ.ย. 59 |
---|---|
เผยแพร่ |
โดย : สาทิส ไฟพิมพ์
ผมคลี่ผ้าห่มออกให้พ้นตัว ชันกายลุกขึ้นนั่งบนขอบเตียง ยังรู้สึกเพลียๆ เหมือนนอนไม่เต็มอิ่ม เมื่อวานกว่าผมจะสะสางงานเสร็จ กลับถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน ทุกคนในบ้านหลับกันหมดแล้ว
เมื่อคืนเธอนอนเงียบเชียบข้างกายผม เราไม่ได้คุยกันมาสี่ห้าวัน วันทำงานผมตื่นก่อนและนอนหลังเธอ วันนี้วันเสาร์ เธอคงตื่นแต่เช้า พาพ่อกับแม่ไปเดินตลาด แล้วก็เลยไปทำบุญที่วัดเช่นเคย
ผมพาร่างที่ยังรู้สึกอ่อนเปลี้ยจากกรำงานหนักมาหลายวัน โต๋เต๋เข้าห้องน้ำ ตาเพ่งมองกระจก เห็นสารรูปตัวเองในนั้นแทบดูไม่ได้ ทั้งตาบวมขอบตาช้ำเพราะนอนน้อย หน้าซีดอย่างกับผีดิบ ผมเผ้ายาวรุงรัง เหมือนพึ่งออกจากป่า หลังหายเข้าไปในนั้นนานเป็นปี หนวดเคราครึ้มดกยาวไม่ต่างจากเส้นผม เหมือนพวกฤๅษีเข้าไปทุกที ร่างกายรึก็ผ่ายผอม กระดูกไหปลาร้าปูดโปนเห็นชัดเจน ซี่โครงบานยังกับผีดาดาในละครจักรๆ วงศ์ๆ ตอนเช้าวันเสาร์อาทิตย์
งานการมันสูบเลือดสูบเนื้อผมได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
ครั้นกวาดตาผ่านขอบอ่างล้างหน้า ผมพบแปรงแต้มยาสีฟันวางเอาไว้ เธอจัดเตรียมให้เสมอ ในกระจกเบื้องหน้าผมระบายยิ้ม ขับไล่ริ้วรอยผีดิบบนใบหน้าออกไปได้ชั่วคราว พ้นห้องน้ำออกมา เธอวางเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นตัวโปรด สำหรับวันหยุดไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
เธอเสียบปลั๊กกาต้มน้ำร้อนทิ้งไว้ เพราะรู้ว่าผมต้องได้กาแฟหนึ่งถ้วยในตอนเช้า มิฉะนั้นร่างกายผมคงเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่ได้หยอดน้ำมัน กระดาษโพสต์-อิตแผ่นหนึ่งติดข้างประตูตู้เย็น “อาหารเช้าอยู่ในตู้กับข้าวนะคะ…คงกลับใกล้ๆ เที่ยง พาพ่อกับแม่ไปเดินจตุจักรต่อ” ลงท้าย “พักนี้ดูคุณซูบไป กินข้าวและพักผ่อนเยอะๆ นะคะ” ช่างน่ารักจริงๆ เมียผม
เมื่อดื่มกาแฟหมดถ้วย ผมจัดการกับอาหารเช้า ข้าวต้มทรงเครื่องสองถ้วยใหญ่ กินกับปาท่องโก๋ร้านเจ้าประจำ หน้าปากซอย ตบท้ายด้วยแตงโมอีกสามสี่ชิ้น ฝีมือทำอาหารของเธอไม่เคยตก ยังคงพิถีพิถันทั้งรสชาติและความสะอาด ที่สำคัญเธอเปลี่ยนเมนูแต่ละวันไม่ให้ซ้ำซาก แถมรู้ใจว่าผมชอบกินอะไรเป็นพิเศษ
หลังมื้อเช้าผมเอกเขนกบนโซฟา เอื้อมมือเปะปะควานหารีโมตทีวี แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ นึกรายการที่จะดูไม่ออก ผมไม่ติดทีวีมาสิบกว่าปีแล้ว จึงวางเจ้าแท่งสีดำใช้เปลี่ยนช่องลง ควานหาหนังสือพิมพ์หัวสีบนชั้นวางนิตยสารแทน ก่อนออกจากบ้านเธอไม่ลืมหยิบหนังสือพิมพ์จากกล่องหน้าบ้านมาวางไว้ให้ผม
ผมไล่เรียงอ่านตัวหนังสือบนกระดาษแผ่นใหญ่ตั้งแต่พาดหัวหน้าหนึ่ง จนมาสะดุดกับข่าวท่องเที่ยวในกรอบเล็กๆ หน้ากลาง
เธอมักจะเปรยให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ อยากไปเที่ยวต่างประเทศสักครั้งในชีวิต ประเทศอะไรก็ได้ขอเป็นทางแถบยุโรป หรือไม่ก็ญี่ปุ่น เปิดหูเปิดตาเปลี่ยนบรรยากาศชมบ้านชมเมืองอื่นเขาดูบ้าง เงินทองเราพอมีเก็บบ้างแล้ว ลูกเต้าเราก็ไม่มี ค่าใช้จ่ายตอนนี้ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก…เอาละ ผมจะชวนเธอคุยเรื่องนี้จริงจังหลังเธอกลับมา เธอคงดีใจไม่น้อย ผมเองก็รู้สึกอยากพักผ่อนยาวๆ สักสัปดาห์สองสัปดาห์ หลายปีมานี้ผมไม่เคยลากิจหรือพักร้อนเลย
แหม! พูดไปจะหาว่าผมยกยอปอปั้นเมียเกินเหตุ แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ยิ่งเป็นงานบ้านงานเรือนด้วยแล้ว เธอเนี้ยบหาตัวจับยาก ทุกวันนี้ขนาดเธอทำงานประจำด้วย ทว่า งานบ้านก็ใช่จะขาดตกบกพร่อง เธอช่างขยันขันแข็งและเก่งไปเสียทุกอย่าง ดูอย่างคุกกี้ธัญพืชที่เธอทำใส่โหลแก้ววางไว้ข้างทีวีและบนหลังตู้เย็นนั่นสิ ผมลิ้มลองแล้วเห็นว่ารสชาติไม่ต่างจากร้านมีชื่อทั้งหลายที่มีอยู่ดารดาษทั่วกรุง
ผมโชคดีมากที่ได้เธอมาเป็นศรีภรรยา ถ้าได้อีกคน! ไม่รู้ชีวิตจะเป็นอย่างไร…คิดถึงอดีตอันโง่เขลา ผมเคยติดพันผู้หญิงคนหนึ่งทั้งที่คบกับเธอแล้ว หล่อนลงทุนลงแรง กล้าได้กล้าเสีย ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ผมเป็นของหล่อนคนเดียว กว่าจะรู้ว่าหล่อนมีสามีแล้วผมก็เกือบพลาดพลั้งเสียที เดชะบุญ! ผมไหวตัวทันและได้เธอผู้หนักแน่นอยู่เคียงข้างเสมอมา จึงผ่านวิกฤตช่วงนั้นมาได้ ถึงเหตุการณ์จะผ่านมานานหลายปี แต่ผมยังโกรธตัวเองไม่หาย!
ไม่เอาดีกว่า ผมไม่อยากรื้อฟื้นความหลังให้เสียบรรยากาศวันพักผ่อนซึ่งมีอยู่น้อยนิด
อโศกอินเดียริมรั้วสูงตระหง่าน ยืนต้นเรียงรายเป็นทิวแถว ถัดเข้ามาเป็นสนามหญ้าเขียวชอุ่ม มีสระบัวเล็กๆ ตรงกลาง ใกล้โรงรถและระเบียงหน้าบ้านเต่าร้างสามสี่ต้นรายล้อมด้วยว่านกาบหอย ฝีมือเธอทั้งนั้น ตั้งแต่ออกแบบสวน เลือกซื้อต้นไม้มาปลูก รดน้ำใส่ปุ๋ยดูแลเป็นอย่างดี เป็นงานที่เธอไม่รู้เบื่อ ผมยังเคยช่วยเธอขนต้นไม้จากตลาดนัดสวนจตุจักรมาปลูก เมื่อไปที่นั่นเธอจะได้ต้นไม้สวยแปลกตากลับมาเสมอ วันนี้เธอคงไม่พลาดอีกเช่นเคย
ขณะอ้อยอิ่งรอบสระบัว เท้าเปล่าผมสัมผัสยอดหญ้า มันทั้งนุ่มและสากในเวลาเดียวกัน แถมคันขึ้นมาถึงโคนขาอ่อน เป็นความรู้สึกประหลาด!…ผมทรุดตัวลงบนม้านั่งข้างสนามหญ้า มีร่มล้านนาสีขาวกางบังแดดอยู่ใกล้ๆ ชุดม้านั่งพร้อมร่ม เธอได้มาจากเชียงใหม่ ช่วงเวลาที่เราไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กัน
ผมกดเบอร์โทรศัพท์บริษัทนำเที่ยวบนหน้าหนังสือพิมพ์ที่หยิบติดมือมาด้วย พนักงานปลายสายให้รายละเอียดชัดเจน คู่สามีภรรยาจะได้ส่วนลดทันทีห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เมื่อนำสำเนาทะเบียนสมรสซึ่งจดกันไม่เกินสามเดือนไปแสดง ผมรับฟังเงียบๆ ไม่ถามอะไรเพิ่มเติม
ผมกับเธอแต่งงานกันมาเกือบสิบปี แต่ยังไม่จดทะเบียนสมรส เธอให้เหตุผลว่า จะได้ไม่ยุ่งยากตอนทำธุรกรรมต่างๆ ซึ่งผมก็เห็นด้วยในแง่นี้…ยังพอมีเวลาเหลืออีกครึ่งเดือนก่อนโปรโมชั่นบริษัทนำเที่ยวจะหมดลง ผมน่าจะลองคุยกับเธออีกครั้ง ชวนเธอไปจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมาย หว่านล้อมเธอด้วยส่วนลดค่าท่องเที่ยว อาจทำให้เธออยากจดทะเบียนกับผมขึ้นมาบ้าง
เธอเคยพูดยั่วล้อว่านามสกุลของผมสั้น แถมอ่านแล้วฟังไม่ไพเราะ เธอขอใช้นามสกุลเดิมดีกว่า ผมระบายยิ้ม ก่อนแซวเธอกลับ “เดี๋ยวนี้ผู้หญิงจดทะเบียนแล้วใช้นามสกุลเดิมก็ได้ ถ้าคุณไม่จด ระวังผมจะไปจดกับหญิงอื่นน้า” แก้มเธอแดงเป็นลูกตำลึง แล้วหันมาทุบไหล่ผม “ก็ลองดูซิ!”
เรื่องจดหรือไม่จดทะเบียนมิใช่เรื่องใหญ่ ผมคิดเช่นนั้น สมบัติพัสถานที่เรามีอยู่ก็เพียงน้อยนิด ล้วนได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของเราทั้งนั้น ไม่ได้มีมรดกตกทอดจากพ่อแม่มากมายมหาศาลจนไม่ต้องทำอะไร เราสองคนก็แค่มนุษย์เงินเดือน อาศัยเก็บหอมรอมริบอย่างอดทน ส่งบ้านผ่อนรถยนต์โดยไม่เดือดร้อน
สมมติ ผมใช้คำว่าสมมติ เพราะเรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!…เธอกับผมต้องเลิกรากันจริงๆ สมบัติทุกชิ้นภายในบ้านหลังนี้ย่อมตกเป็นของเธอ ไม่เว้นแม้แต่บัญชีเงินฝาก ผมเปิดเป็นชื่อเธอทั้งหมด
ผู้หญิงร้อยทั้งร้อย ต้องการความมั่นใจจากสามีว่าจะซื่อสัตย์ต่อเธอ ต้องการความมั่งคงในชีวิต หมายถึงเลี้ยงดูเธอและครอบครัวได้ตลอดรอดฝั่ง ต้องการการเอาอกเอาใจ และต้องการสิ่งของกำนัลสำหรับช่วงเวลาพิเศษ ประการสุดท้ายผมรู้ตัวว่าทำได้น้อยครั้งหลังแต่งงาน
มีครั้งหนึ่งผมติดสอยห้อยตามเจ้านายเข้าร้านทองแถวเยาวราช เลือกซื้อของกำนัลให้ลูกค้ารายใหญ่ ผมถูกใจสร้อยข้อมือรูปหัวใจสองดวงชนกัน จึงลงทุนควักกระเป๋าตัวเองซื้อมากำนัลแด่เธอ…เธอใส่สร้อยเส้นนี้ทุกวัน แม้แต่ยามนอนเธอยังไม่ยอมถอดมันออก
จวบจนทุกวันนี้ผมยังไม่เห็นเธอเปลี่ยนเป็นเส้นอื่นเลย
เลยเที่ยงมาเกือบชั่วโมงกว่าแล้ว ไม่มีวี่แววเธอกับพ่อแม่จะกลับ คงเพลิดเพลินกับการจับจ่ายซื้อข้าวของ หรือไม่รถก็ติดจนกระดิกไปไหนไม่ได้ ปกติเธอจะถึงบ้านราวห้าโมงเช้า พร้อมของโปรดผม ที่จริงผมไม่ได้ห่วงเรื่องกิน ในตู้กับข้าวยังมีข้าวต้มเหลือ หรือเพียงเดินออกไปตลาดหน้าปากซอย มีร้านข้าวมันไก่ อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว และผลไม้ ให้เลือกหลายร้าน
ผมตัดสินใจต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินรองท้อง เธอเลือกซื้อแต่ยี่ห้อดีๆ มาตุนไว้ ผมไม่ชอบกินของพวกนี้เท่าไร นานๆ กินทีก็อร่อยดีเหมือนกัน
เธอไม่เคยไปนานอย่างนี้มาก่อน นี่ก็ย่างเข้าบ่ายสองแล้ว หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงเธอจะต้องโทร.บอกผมทุกครั้ง ผมหยิบมือถือขึ้นมา รูปเธอในชุดเจ้าสาวยังถูกบันทึกไว้พร้อมเบอร์โทร. ยิ้มละมุนบนใบหน้าเธอกระมังทำให้ผมชอบรูปนี้มาก และคงเป็นรอยยิ้มนี้อีกเช่นกันที่ทำให้ผมหลงเสน่ห์เธอจนถอนตัวไม่ขึ้น
ปลายสายไม่มีคนรับ เธออาจลืมวางไว้บนรถก่อนเดินช็อปปิ้ง หรือไม่ก็ปิดเสียงไว้ เสียดายพ่อแม่เธอไม่พกโทรศัพท์ ผมตั้งใจไว้ว่าอีกหนึ่งชั่วโมงหากโทร.ไม่ติดอีก คงต้องจับรถเมล์ออกไปตามหา ผมเริ่มกังวลและเป็นห่วงเธอ รถอาจเสียหรือมีใครเจ็บป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล หรือร้ายแรงที่สุด รถเกิดอุบัติเหตุ!
ถ้าผมเจอเธอแล้วทุกอย่างเรียบร้อยดี ก็ถือโอกาสออกไปเที่ยวเตร่ด้วยเลย ผมอาจชวนเธอกับพ่อแม่ไปกินข้าวเย็น ไปดูการแสดงหุ่นกระบอกต่อก็ดีนะ เพราะถ้าไปดูหนัง พ่อกับแม่เธอคงไม่ชอบเท่าไร
ผมจับรถเมล์หน้าปากซอย มุ่งหน้าสู่ตลาดนัดสวนจตุจักรเป็นแห่งแรก ลองสอบถามเจ้าของร้านขายต้นไม้เจ้าประจำ เผื่อจะได้ข่าวคราวบ้าง…เป็นจริงอย่างที่คิด เธอมาซื้อต้นไม้ราวสี่โมงเช้า จากนั้นเดินไปแถวแผงหนังสือเก่า พ่อเธอเป็นหนอนหนังสือตัวยง ชอบอ่านผลงานของนักเขียนยุคบุกเบิกอย่าง มนัส จรรยงค์ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เสนีย์ เสาวพงศ์ อาจินต์ ปัญจพรรค์ “รงค์ วงษ์สวรรค์ สุจิตต์ วงษ์เทศ ขรรค์ชัย บุนปาน ฯลฯ
ผมตระเวนหาเธอตามร้านที่น่าจะไป เจ้าของร้านสุดท้ายที่เธอแวะ บอกว่าเธอออกจากตลาดราวห้าโมงเช้า คุยกันเล่นๆ เธอรีบไปซื้อกระเพาะปลาเจ้าประจำกลับไปฝากคนที่บ้าน รู้อย่างนี้หัวใจผมพองโต เธอไม่เคยลืมของโปรดผม!
รถเมล์จอดป้ายห่างจากร้านกระเพาะปลาราวหนึ่งร้อยเมตร ขณะผมมุ่งหน้าไปบริเวณนั้นดูเหมือนจะมีการปิดถนน ผมรีบสาวเท้าเร็วขึ้น ก่อนถึงร้านราวห้าสิบเมตร ปรากฏเทปสีเหลืองกั้น ไทยมุงเต็มไปหมด
“เกิดอะไรขึ้นเหรอพี่ชาย?” ผมถามคนที่กำลังเดินสวนออกมา ได้ความว่า เกิดระเบิดขึ้นหน้าร้านสะดวกซื้อ ถัดจากร้านกระเพาะปลาไปสองคูหา จะเป็นเรื่องการเมืองหรือก่อการร้ายก็สุดจะคาดเดา แถวนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินขวักไขว่เต็มไปหมด เมื่อเหตุร้ายเกิดขึ้นย่อมกระทบกระเทือนไปทั่วโลก
ผมใจคอไม่ค่อยดีเมื่อรู้ความจริง พยายามควบคุมสติเอาไว้ และภาวนาในใจให้เธอกับพ่อแม่พ้นจากบริเวณนี้ก่อนระเบิดทำงาน เนื่องจากเหตุการณ์พึ่งเกิดไม่ถึงชั่วโมง สถานการณ์กำลังสับสนวุ่นวาย ผมไม่สามารถถามเจ้าหน้าที่ได้ว่ามีรายชื่อผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตเป็นใครบ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้นผมตัดสินใจกดโทรศัพท์หาเธออีกครั้ง…ผลลัพธ์คงเป็นเช่นเดิม เธอไม่รับสาย!
เป็นไปได้ว่าเธอกำลังขับรถและใกล้ถึงบ้านเต็มที ผมเขียนกระดาษโน้ตวางไว้บนโต๊ะรับแขกว่า ออกมาตามหาเธอ ถ้าเธอได้อ่าน อีกไม่นานจะต้องโทร.หาผมแน่นอน ผมจึงผละจากบริเวณเกิดเหตุระเบิด เดินข้ามถนนไปตรงสี่แยก โบกรถแท็กซี่กลับบ้าน
ผมนั่งกระสับกระส่ายบนเบาะหลังรถแท็กซี่ พลางจับจ้องหน้าจอโทรศัพท์ไม่ลดละ สมองผมคิดไปต่างๆ นานา และคงคิดมากจนความดันขึ้น เกิดอาการวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม ก่อนตกอยู่ในภวังค์
วันนั้นเป็นวันเสาร์ผมจำได้ดี ผมตื่นเช้าผิดปกติ “อาหารเช้าอยู่ในตู้กับข้าวนะคะ…คุณจะเอาอะไรหรือเปล่า? ฉันจะไปดอนหวาย” ผมส่ายศีรษะพลางเดินไปส่งเธอ พ่อกับแม่เธออยู่ในรถพร้อมออกเดินทาง หลังทำบุญที่วัดใกล้บ้าน เธอจะพาพ่อแม่ตระเวนเที่ยวรอบนครปฐม
รถเคลื่อนไปข้างหน้าเล็กน้อยยังไม่พ้นประตูบ้าน เธอไม่วายลดกระจกข้างลง “คงกลับถึงบ้านเย็นๆ มื้อเที่ยงคุณน่าจะไปลองก๋วยเตี๋ยวเจ้าใหม่หน้าปากซอยนะคะ…อร่อยเชียว” เธอส่งยิ้มหวานพร้อมโบกมือให้ผม
ผมเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือเธอบนชั้นวางรองเท้า กว่าผมจะวิ่งถึงหน้าประตูบ้าน เธอขับรถเลี้ยวออกจากซอยไปแล้ว เป็นอันว่าเราติดต่อกันไม่ได้ทั้งวัน…
“คุณได้ข่าวรถเบนซ์ชนรถเก๋ง เมื่อสามเดือนก่อนไหม? พึ่งลงหน้าหนึ่งวันนี้ คดีความไม่คืบหน้า” เสียงคนขับแท็กซี่ปลุกผมตื่นจากภวังค์ ผมส่ายศีรษะ
“คุณไม่สบายหรือเปล่า? ตาคล้ำ หน้าซีด อย่างกับคนอดนอนมาหลายวัน” คนขับแท็กซี่ทักหลังจ้องผมผ่านกระจกหลัง
“อ๋อ…ผมสบายดี” ผมตอบทั้งที่ตายังคงจ้องหน้าจอโทรศัพท์
“ดีแล้ว…ที่คุณไม่เป็นอะไร แถวนี้ไกลจากโรงพยาบาลเสียด้วย”
“ว่าแต่ว่าเรื่องนั่นเป็นยังไง?” ผมถามถึงข่าวที่เขากำลังพูดถึง
แท็กซี่เล่าข่าวอุบัติเหตุต่อ ไฮโซหนุ่มซึ่งอยู่ในอาการมึนเมา ซิ่งรถหรูป้ายแดงไปตามถนนสายอรุณอมรินทร์-นครชัยศรี ขับปาดหน้ารถหลายคัน ตามข่าวบอกว่า เขาเหยียบถึงสองร้อยห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง จนชนเข้ากับรถเก๋งโชคร้ายคันหนึ่ง ไฟลุกท่วมทั้งคัน
“สามศพเชียวนะคุณ! ถูกไฟคลอกดำเป็นตอตะโก ลูกสาวเป็นคนขับ กำลังพาพ่อแม่ไปเที่ยวตลาดน้ำ”
“คดีคงยืดตามเคย” ผมออกความเห็น
“อย่างคุณว่า นี่ก็เกือบจะสี่เดือนแล้วคดียังไม่ไปถึงไหน พวกนี้เงินหนา สั่งได้…ดูอย่างคดีลูกเจ้าสัวซิ่งรถหรูชนตำรวจตาย หรือดาราวัยรุ่นขับชนรถตู้คนตายยกคัน เป็นปีๆ แล้วคดียังไม่ไปถึงไหน บ้านเราก็อย่างนี้ พอคนเริ่มลืม คดีก็ถูกดอง” แท็กซี่ว่า
ผมยังคงจ้องหน้าจอมือถือแม้หูจะฟังคนขับแท็กซี่เล่าข่าว และตัดสินใจโทร.หาเธออีกครั้ง…ไม่มีเสียงตอบรับจากปลายสาย!
ผมจินตนาการเอาไว้ ครั้นเยี่ยมหน้ามองเข้าไปภายในบ้าน ต้องเห็นรถเก๋งจอดอยู่ ส่วนเธอกับพ่อแม่นั่งบนโซฟาห้องรับแขก กำลังดูละครตอนเย็นอย่างเพลิดเพลิน ผมจะแอบย่องเข้าไปจับไหล่เธอ ครั้นเธอสะดุ้ง ทุกคนจะส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ นั่นละ บรรยากาศครอบครัวเรายามเย็นวันหยุด
แท็กซี่จอดรถหน้าประตูรั้ว “นี่บ้านคุณเหรอ?” เขาถามผมพลางรับเงินค่าโดยสาร “ตัดหญ้าหน้าบ้านบ้างนะครับ เดี๋ยวงูเงี้ยวเขี้ยวขอมันจะกัดจะต่อยเอา” เขาพูดทีเล่นทีจริงพร้อมส่งยิ้มให้ผม ผมเพียงยิ้มตอบ กำลังจะบอกเขาว่า “เมียผมดูแลทุกวัน สนามหญ้าออกจะดูดี สงสัยคุณต้องไปเช็กสายตาเสียหน่อยล่ะมั้ง” เขารีบออกรถไปเสียก่อน ผมไม่ลืมหยิบหนังสือพิมพ์ในช่องใส่หน้าประตูรั้วเข้าไปด้วย
จินตนาการของผมไม่เป็นจริง บ้านเงียบเชียบ ไม่มีรถจอด ไม่มีเธอกับพ่อแม่ดูทีวีในห้องรับแขก
ผมนั่งกินข้าวต้มกับปาท่องโก๋เหลือจากมื้อเช้า พลางเปิดทีวีเป็นเพื่อน มีจานใส่แตงโมวางอยู่ข้างๆ กระทั่งละครจบตอน ผมนำถ้วยใส่ข้าวต้มเปล่าวางลงในซิงก์น้ำห้องครัว จมูกได้กลิ่นเน่าคละคลุ้งสงสัยจะเป็นหนูตาย นำข้าวต้มที่ยังเหลือเก็บใส่ตู้เย็น และเสียบปลั๊กกาต้มน้ำร้อนทิ้งไว้ เผื่อดึกๆ จะรู้สึกหิว ก่อนออกจากครัวผมเหลือบไปเห็นกระดาษโพสต์-อิตติดประตูตู้เย็น “อาหารเช้าอยู่ในตู้กับข้าวนะคะ…คงกลับใกล้ๆ เที่ยง พาพ่อกับแม่ไปเดินจตุจักรต่อ” โหลแก้วใส่คุกกี้ธัญพืชวางสงบนิ่งบนหลังตู้เย็น
กระจกในห้องน้ำยังคงสะท้อนหน้าตาอันทรุดโทรมของผม หลังอาบน้ำและแปรงฟัน ผมไม่ลืมบีบยาสีฟันแต้มบนแปรง แล้ววางไว้ข้างขอบอ่างล้างหน้า พ้นห้องน้ำออกมา ผมนำชุดที่จะใส่วันอาทิตย์วางทิ้งไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
ผมนอนแผ่หลาบนเตียงนอน สมองคิดไปต่างๆ นานา เธอกับพ่อแม่ไม่เคยกลับดึกเช่นนี้มาก่อน สายตาจับจ้องโทรศัพท์ มันไม่กระดุกกระดิกแม้แต่น้อย เหมือนผมอยู่คนเดียวในโลกใบนี้ ไม่มีใครสนใจโทร.หา
เธอในชุดเจ้าสาวปรากฏเสมอ ยามผมกดโทรศัพท์หาเธอ วันที่ถ่ายรูปนี้เป็นวันที่เธอสวยที่สุด เสียงเพลงรอสาย How long will I love you ดังมาจากโต๊ะข้างเตียงฝั่งเธอนอน หรือเธอกลับมาแล้ว! แกล้งซ่อนตัวรอจังหวะเอาคืนผมบ้าง ผมเปิดลิ้นชักดู โทรศัพท์เธออยู่ในนั้นจริงๆ ด้วย!
“คุณ…เลิกเล่นได้แล้ว” ผมตะโกนดังลั่นบ้าน ถลันออกไปนอกห้องนอน เปิดห้องแต่งตัว ก่อนจะเคาะประตูห้องพ่อแม่เธอ ไม่มีใครอยู่ชั้นบน
“ซ่อนได้ซ่อนไป ผมต้องหาคุณเจอแน่” ผมรีบลงบันไดมาชั้นล่าง เสาะหาตัวเธอตั้งแต่โรงรถ ห้องเก็บของ ห้องครัว ห้องรับแขก ผมลืมไปว่าชั้นบนยังเหลืออีกหนึ่งห้อง
เมื่อไฟจากหลอดตะเกียบในห้องพระสว่างขึ้น โต๊ะหมู่บูชาจัดไว้เป็นระเบียบสวยงาม อยู่ด้านในสุดของห้อง องค์พระพุทธชินราชจำลอง สีทองเหลืองอร่ามเมื่อต้องแสงไฟ ผมนั่งคุกเข่ากราบพระสามครั้ง
ผนังห้องด้านหนึ่งแขวนรูปถ่ายใส่กรอบของครอบครัวเราทั้งสองเต็มพรืดไปหมด ไล่ตั้งแต่รุ่นปู่ยาตายายมาจนถึงบรรดาหลานๆ รูปเธอตอนเด็กไม่มีแววความสวยหรือมีเสน่ห์เลยสักนิด เป็นแค่เด็กหญิงกะโปโลคนหนึ่ง
ผนังอีกด้านมีรูปถ่ายขาวดำขนาดใหญ่สามรูปแขวนไว้ แถมขอบด้านบนรูปยังติดพวงมาลัยสีขาวดำอีกต่างหาก ด้านล่างภาพมีคำบรรยาย ชื่อ…ชะตา…มรณะ… รูปพ่อกับแม่เธอแขวนข้างๆ กัน ถัดมาอีกเล็กน้อยเป็นรูปเธอ รูปนี้สีหน้าเธอเรียบเฉย ต่างจากรูปอื่นที่ติดไว้ภายในบ้าน เธอยิ้มเสมอไม่มากก็น้อย
คำถามผุดขึ้นในสมองผม ใครกันเอารูปพิเรนทร์และอัปมงคลเหล่านี้มาแขวนไว้? เธอกับพ่อแม่ยังไม่ตาย! สักหน่อย แค่ออกไปเที่ยวนอกบ้านเท่านั้น เดี๋ยวพวกเขาก็กลับมาแล้ว