ประกวดเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ : “คำ” หมาย

โดย : มสารกา

…สดับ…

เสียงหวานใสของนกน้อยตัวจ้อยที่พากันจับกลุ่มร้องเพลงอยู่บนกิ่งไม้เทียมขนาดใหญ่ติดกับตัวตึก เอื้อนเอ่ยถ้อยคำเสนาะเพราะพริ้ง ทักทายแสงแดดยามเช้าที่ดูเหมือนจะเจิดจ้ากว่าปกติ มันลอดผ่านช่องว่างระหว่างซี่หน้าต่างบานเก่าที่มุมห้อง ปลุกหญิงสาวให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล เธอหรี่ตามองไปรอบๆ พร้อมๆ กับยันตัวขึ้นจากเตียงไม้ ที่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดควบคู่ไปกับเสียงเคาะตะหลิวจากห้องข้างๆ อาการปวดกล้ามเนื้อแทบจะกลายเป็นอาการที่เกิดขึ้นเป็นปกติ หลังจากประสบอุบัติเหตุ เธอก็ไม่สามารถขยับร่างกายได้คล่องแคล่วอย่างเก่า แต่โชคยังดีที่อาการไม่ได้มีผลต่อการทำกิจวัตรประจำวันสักเท่าไรนัก

“ธาร” รุ่นพี่ที่รู้จักตั้งแต่สมัยเรียน คอยดูแลเธออยู่เสมอ ความสัมพันธ์ของทั้งสองก้าวหน้าเกินกว่าที่เธอจะคาดคิดไว้เสียอีก เขาฉลาด และอ่อนโยน แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความลับมากมาย

เมื่อลองเทียบกับครั้งที่เธอยังเป็นเด็ก หลายสิ่งหลายอย่างบนโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความรู้ ศาสตร์ต่างๆ ไม่ได้ถูกแยกออกจากกันอย่างที่เคยเป็น มันถูกรวม เชื่อมโยง และแตกแขนงเป็นอีกหลายสาขา เทคโนโลยี ผลประโยชน์ และเงินตรา แทบจะกลายเป็นสิ่งขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ละประเทศ แต่ละพื้นที่ มีความขัดแย้งที่ไม่มีทางหาข้อแก้ไขได้ ผู้คนแบ่งพรรคแบ่งพวก แก่งแย่งชิงดี และห้ำหั่นกันมากเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวย

บ่อยครั้งที่เธอมักคิดว่า เธออาจไม่มีวันเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้เลย เช่นเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตในมิติที่ต่ำกว่า ไม่มีทางเข้าใจชีวิตในมิติที่สูงกว่า

…รู้จัก…

ข้าวต้ม ไข่เจียว และซีอิ๊วขาว ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยบนโต๊ะอาหาร ชายหนุ่มเดินตรงรี่มาช่วยพยุงอย่างเคยชิน เธอนั่งลง ตักไข่เจียวใส่ชามข้าวต้มหอมกรุ่นตรงหน้า และเริ่มเคี้ยวมันช้าๆ คิดเรื่องราวเรื่อยเปื่อย มองจากยอดตึกผ่านไปยังอีกยอดตึกที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้า โลกนอกหน้าต่างดูนิ่งสงบ สายลมอาจเหนื่อยเกินกว่าจะพัดผ่านช่องว่างระหว่างตึกสูง เพื่อปะทะกับบานหน้าต่างที่ปิดสนิท รอรับลมเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศราคาแพง

“วันนี้น่าจะร้อนกว่าเมื่อวาน…” เสียงทุ้มของเขาปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ เขากดรีโมตเปิดเครื่องปรับอากาศ ก่อนจะเริ่มมาสนใจกับข้าวต้มตรงหน้า เธอยกน้ำขึ้นจิบ ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดต่อ

“อยากออกไปไหนหรือเปล่า พี่อาจจะไปเป็นเพื่อนได้ก่อนไปทำงาน หรือว่าอยากจะแค่พก จีที ไป” เขาเหยาะซีอิ๊วขาวลงบนชิ้นไข่เจียวในชามข้าวต้ม ก่อนจะตักมันขึ้นเป่าเพื่อให้เย็นลง แผลเป็นที่ข้อมือของเขาดูนูนขึ้น หากแต่ไม่ชัดเจนเท่าเวลาอยู่ในแสงสลัว เขาดูจะสนใจและห่วงใยเธอเป็นพิเศษในบางครั้ง แต่บางครั้งก็เหมือนเป็นการเฝ้าสังเกตอะไรบางอย่างจากเธอ โดยมักจะใช้ “จีที” ซึ่งเป็นชื่อหุ่นยนต์ รุ่น GT201 มันสามารถแจ้งเหตุไปที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด หรือแจ้งเขาได้ในทันทีเมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเธอ มันเป็นหุ่นยนต์รุ่นแรกๆ ที่เขาเริ่มเขียนโปรแกรม และเข้าร่วมทีมวิจัยกับสถาบันมาโคร องค์กรเกือบลับ ยักษ์ใหญ่ที่ทุ่มให้ทุนวิจัยกับนักวิทยาศาสตร์หลากลายสาขา จนเป็นที่รู้จักกันดี ธารเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญทางด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือมักจะเรียกกันว่า เอไอ (AI : Artificial Intelligence) ที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง งานของเขาเป็นที่ยอมรับ และได้ตีพิมพ์ในวารสารชื่อดัง มากพอๆ กับความลับที่เขายังไม่พร้อมเปิดเผยเกี่ยวกับศาสตร์ด้านนี้…

“ไม่หรอก อากาศร้อน หนูยังไม่อยากออกไปไหน อยากอยู่อ่านงานมากกว่าค่ะ” เธอแอบมองเขาจากหางตาขณะก้มมองชามข้าวต้ม แปลกที่แม้เธอจะพูดเพียงประโยคธรรมดา ก็สามารถทำให้เขาหยุดและตั้งใจฟัง เธอเงยหน้าขึ้นแล้วเริ่มพูดต่อ

“ดูเหมือนช่วงนี้พี่กำลังยุ่งๆ อยู่กับ ทัวริ่งเทสต์ (Turing test)1 ไม่ใช่เหรอคะ…” เขาเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ

“พี่ไปทำงานเถอะค่ะ หนูอยู่ได้ คิดว่าพรุ่งนี้อยากกลับไปทำงานแล้วล่ะ” เขาหยิบน้ำขึ้นดื่ม ดึงกระดาษเช็ดปากจากกล่อง

“เจอกันพรุ่งนี้นะคะ” เขาใช้กระดาษเช็ดปาก หลุบตาลงต่ำ กำกระดาษเช็ดปากไว้ ซ้อนจากชาม แก้วน้ำ ก่อนจะยกมันขึ้น

“จ้ะ” เขาเดินเข้าห้องครัวไป ส่วนเธอเดินเขาห้องน้ำและปิดประตู

…ความลับ…

ประตูห้องทำงานสีขาวสะอาดตาถูกเปิดออก เธอนั่งลงที่โต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยการ์ดแสดงความยินดีที่ได้กลับมาทำงานอีกครั้ง โต๊ะทำงานสีดำ ดอกไม้สีแดง และหุ่นยนต์แมงมุมยักษ์จีที ซึ่งมีตาเป็นกระดุมสีทองทั้งสองข้าง

“ติ๊ด ติ๊ด” จอแอลซีดีจอเล็กกะพริบตัวอักษรสีฟ้า “มีอภิปรายผล 9 โมง” จริงสิ! ทุกๆ ครั้งที่มีผลการทดลองออกมา ทีมแล็บจะต้องมีการอภิปรายผลที่พบในแต่ละส่วน เพื่อออกแบบการทดลอง และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อประสิทธิภาพของการทดลอง เธอหันมองนาฬิกา ตอนนี้แปดโมง เธอยังมีเวลาอ่านเอกสารอีกหนึ่งชั่วโมง เธอเปิดแฟ้มหน้าขึ้นอ่านหลังจากส่งข้อความหาธาร

“ค่อยคุยกันนะคะ เจอกันมื้อค่ำ”

หลังจากที่สถาบันมาโครให้ทุนวิจัย ครั้งที่เธอยังทำวิทยานิพนธ์ หลังจากเรียนจบ เธอก็ทำงานให้กับองค์กรอย่างเต็มตัว เริ่มแรก เธอรู้เพียงแค่เป็นองค์กรที่มีความเกี่ยวข้องทางใดทางหนึ่งกับสถาบันไครโอนิกส์2 (Cryonics Institute) และด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง มาโครเริ่มขยับขยายจุดประสงค์ขององค์กร จนมีนักวิทยาศาสตร์ และสถาบันย่อยๆ ในสังกัดอีกมากมาย จนแทบจะไม่มีทีท่าว่าจะล้มลงได้เลย งานที่สำคัญของเธอ คือการศึกษาการตอบสนองของต้นโฮป (hope) ซึ่งเป็นพืชในวงศ์ ยูฟอเบียเซเอ (Euphorbiaceae) ต่อสภาวะเครียด (stress) หรือสภาวะที่ไม่เหมาะสม ต้นโฮป จะมีการสร้างสารเมแทบอไลต์ทุติยภูมิ (secondary metabolite)3 ขึ้น ซึ่งคุณสมบัติของสารเมแทบอไลต์ทุติยภูมินี่เอง ที่มาโครยอมทุ่มทุนสนับสนุนงานวิจัย เพื่อให้ได้สารใหม่ที่มีคุณสมบัติตามที่องค์กรต้องการ

ทันทีที่สมาชิกในทีมแล็บคนสุดท้ายเดินเข้าห้องประชุมพร้อมกดล็อกประตู จอสีเหลี่ยมขนาดใหญ่ฉายภาพ เมล็ดโฮป ต้นอ่อนของต้นโฮป ราก และของเหลวสีน้ำตาลเข้มในหลอดทดลอง สมาชิกหญิงสวมแว่นตาสีขาวเอ่ยขึ้นขณะชี้อุปกรณ์ยิงเลเซอร์สำหรับทำเครื่องหมายบนจอฉายภาพ แล้วเธอก็เริ่มพูด

“จากการทดสอบผลต่อสภาวะเครียด ในต้นกล้าโฮป โดยใช้คลื่นเสียงที่สูงเกินกว่าระดับที่เหมาะสม พบว่าต้นกล้าของโฮปมีการตอบสนองโดยการสร้างสารประกอบฟีนอลิกขึ้นหลายชนิด ดังเช่นที่เคยพบจากการทดสอบด้วยสภาวะขาดน้ำนะคะ หากแต่มีสารชนิดหนึ่งที่มีปริมาณมาก และไม่เคยพบในการทดลองอื่นเลยคือ กรดพานิก (Panic acid) ค่ะ” เจ้าของแว่นตาสีขาวเว้นวรรค ก่อนที่เสียงหนึ่งจะแทรกขึ้นมา

“นั่นหมายถึงเราก็พบสารชนิดใหม่จากการทดสอบด้วยคลื่นเสียง… ถูกต้องไหมคะ…แสดงว่ามันมีคุณสมบัติแตกต่างจากชนิดอื่นๆ?”

“ใช่ค่ะ และพบว่าเมื่อสกัดแยกสารชนิดนี้ แล้วทดสอบในการเจริญเติบโตของพืชใบเลี้ยงคู่ และใบเลี้ยงเดี่ยว พบว่า มีการยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชทดสอบ 100 เปอร์เซ็นต์ ในความเข้มข้นเพียง 50 ppm และเมื่อมีการทดสอบกับหนูตะเภา ก็พบว่า…หนูตะเภามีการเต้นของหัวใจผิดปกติ พฤติกรรมก้าวร้าวสูงกว่าการทดสอบด้วยยาแอมเฟตามีน…และตาย…ในเวลาต่อมาค่ะ”

“และเราก็พบว่า ไม่มีการค้นพบสารชนิดนี้ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากมีการใช้สารนี้ในการใช้ทรมานนักโทษ และใช้เป็นส่วนประกอบของระเบิดค่ะ”

เริ่มมีเสียงพูดคุยถกเถียงเบาๆ เกิดขึ้นในห้องประชุม ก่อนที่จะเงียบลง เสมือนรอให้ใครบางคนพูดบางสิ่งบางอย่างขึ้น

“ทราบผลตั้งแต่เมื่อไหร่คะ…ยังไม่ได้แจ้งไปที่ศูนย์กลางใช่ไหมคะ” เธอค่อยๆ พูดเพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังปะทุขึ้นมา สิ่งที่เธอกลัว กำลังจะเกิดขึ้นหรือเปล่า

“สองสัปดาห์ที่แล้วค่ะ ยังไม่ได้แจ้ง แต่คาดว่าน่าจะรู้เป็นนัยๆ แล้ว เพียงแค่รอให้คุณส่งผลและตัวอย่างไป”

“สองสัปดาห์…ที่แล้ว อย่างนั้นเหรอ!”

ห้องประชุมเริ่มเงียบอีกครั้ง และเธอก็คิดว่า บางทีมันอาจดีแล้ว ถ้าให้ความเงียบได้พูดคุยกันบ้าง

…เร้น…

เสียงภาชนะกระทบกัน ทำลายความเงียบ เมื่อธารรวบช้อนหลังรับประทานอาหารค่ำเสร็จ เธอและเขาต่างไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำพูดใดตลอดเวลาที่รับประทานอาหารด้วยกัน

“พี่คิดว่าการที่มาโครสนับสนุนไครโอนิกส์ เพราะเป็นไปตามจุดประสงค์จริงๆ ของมันหรือเปล่า แน่ใจแค่ไหนว่าพวกเขาจะให้ร่างกายเหล่านั้นฟื้นขึ้นมาได้ โดยไม่มีอะไรตอบแทนต่อองค์กรเลย ในเมื่อเขาอยากได้อาวุธสำหรับสงครามขนาดส่งคนมา “สอดแนม”” ธารเงียบ หากแต่ยังคงสบตาเธออยู่ เธอยกขาขึ้นไขว่ห้าง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ และวางแขนลงบนเบาะวางแขน

“พี่คิดว่าการที่หนูประสบอุบัติเหตุพร้อมๆ กับการค้นพบสารที่มีความสำคัญกับการก่อสงคราม มันบังเอิญอย่างนั้นเหรอ…หนูไม่มั่นใจเรื่องนี้จนกระทั่งทางศูนย์รู้ว่าเราพบสารใหม่ ก่อนที่เราจะแจ้งไปซะอีก และทางศูนย์ก็เร่งให้เราส่งตัวอย่างสารไป โดยไม่ฟังอะไรทั้งนั้น…พี่คิดว่ามันควรคิดไปในทางไหน?” เธอยังคงรักษาระดับเสียงให้คงที่ไว้ได้ หากแต่ไม่สามารถควบคุมมืออันสั่นเทาขณะวางดอกไม้ปลอมสีแดง และหุ่นยนต์จีทีลงบนโต๊ะ

“กระดุมสีทอง ทำหน้าที่ของมันได้ดี” เสียงของเธอเริ่มสั่นเล็กน้อย เขายกมือลูบใบหน้า ก่อนจะเริ่มพูดบ้าง

“แล้วเราจะต้องปิดบังอะไรในเมื่อก็ทำงานให้มาโครอยู่แล้ว ถ้าไม่อยากให้มาโครรู้เรื่องพวกนี้ ก็ควรจะถอนตัวไปนานแล้ว…นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาเกี่ยวข้องกับความดีเลว แต่มันคือความอยู่รอด และผลประโยชน์” เขากวาดดอกไม้และหุ่นยนต์จีทีลงไปกองกับพื้น หากแต่เสียงยังคงราบเรียบอยู่

“พี่ว่าเราควรโตได้แล้ว โลกเราไม่ได้สวยงามหรอก ปลาใหญ่ก็ต้องกินปลาเล็กเสมอไป คนที่แข็งแกร่งกว่า ก็ต้องชนะคนที่อ่อนแอ” เธอเบิกตากว้างก่อนจะเริ่มตอบกลับด้วยเสียงที่ดังขึ้น

“หนูไม่เคยมั่นใจจุดประสงค์ของมาโคร จนถึงวันนี้ มาโครก็แค่ทาสของพวกนักการเมือง พวกเราก็เป็นแค่หมาก…และหนูก็คิดไม่ถึงว่าพี่จะอยากจะเป็น-แค่-หมาก-ตัว-นึง” เธอเน้นคำ

“รู้อะไรมั้ย บางครั้ง เราต้องยอมเป็นหมาก เพื่อที่เราจะได้รู้จักเกม” เขาเริ่มสนใจแก้วน้ำ ก่อนที่จะยกมันขึ้น

“งั้นเหรอ งั้นพี่ก็ควรจะรู้ไว้ว่าเมื่อเราเป็นหมากแล้ว จะไม่มีใครปล่อยให้เราเดินเกม!” เธอเริ่มตะโกน

“รู้อะไรมั้ย เราสามารถทำสิ่งที่ดีกว่าได้ แต่มันอาจดูยากลำบาก เพราะไม่มีใครเหลือจะให้ทำอีกแล้ว มันยากเกินไปที่จะไม่คิดถึงตัวเอง และผลประโยชน์อันหอมหวานที่คอยอยู่” เธอมองเขาและเริ่มชะงัก เสียงของเธอเบาลง และดูเหมือนคิดอะไรขึ้นได้

“ดึกแล้ว คืนนี้นอนนี่ไหม…” เขาวางแก้วน้ำ

…เลือนราง…

“ปัจจุบันเราสามารถสร้าง AI ที่มีระดับความคิดใกล้เคียงกับมนุษย์ได้แล้ว นอกจากนี้ การถ่ายโอนความคิดและความทรงจำโดยมีส่วนสำคัญคือคลื่นสมอง สู่ AI ได้ ในกรณีที่เป็นผู้ป่วยที่เป็นอัมพาต หรือเสียชีวิตโดยที่สมองยังไม่ได้มีการหยุดทำงาน แต่ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่า AI ที่มีการถ่ายโอนความทรงจำ จะสามารถมีระบบความคิดเช่นเดียวกับเจ้าของสมองต้นแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ยังต้องผ่านการทดสอบอย่างแน่นอนจากสถาบันก่อนครับ” เธอย้อนดูเทปการสัมภาษณ์ที่เขาให้สัมภาษณ์กับหนังสือชื่อดังเมื่อสัปดาห์ก่อนที่เธอเกิดอุบัติเหตุ ก่อนที่จะยกโทรศัพท์มือถือกดส่งข้อความ “เที่ยงเจอกันที่อาคาร G ห้องไครโอนิกส์”

เขาเปิดประตูเข้าสู่ห้องที่เต็มไปด้วยถังทรงกระบอกขนาดใหญ่สีเงินตั้งเรียงรายอยู่ภายในห้อง วัตถุสีดำถูกซ่อนไว้ในเสื้อ เธอเดินเข้ามาหาเขา ก่อนยื่นคีย์การ์ดห้องข้อมูลให้ คิดแล้วไม่มีผิด เธอแอบหยิบไปเมื่อคืนแน่ๆ

“ทัวริ่งเทสต์ ของ AI พี่คงจะผ่านฉลุยเลยสิจริงมั้ย พี่สอบมันผ่านตั้งชาติกว่าแล้ว!” เธอโยนนิตยสารให้เขา พร้อมๆ กับตะโกนเสียงดัง

“หรือพี่อยากจะทดลองระบบโอนความคิดอะไรของพี่อีกสินะ แล้วไง ฉันสอบผ่านมั้ย?… อ๋อ สิ่งที่พี่ต้องการไม่ใช่ระบบความคิด แต่คือความคิดนี่จริงมั้ย ความคิดของฉันน่ะ”

“แล้วสิ่งที่พี่ทำคืออะไร ไครโอนิกส์ฉัน เพื่อโอนความคิดมา AI แล้วโอนจาก AI ไปที่ศพฉันงั้นเหรอ มันจะมากไปมั้ย แล้วตกลงฉันคือตัวอะไร ใช่คนอยู่มั้ย” เขาก้มหน้า และยังคงเงียบอยู่

“…ฉันตายไปแล้ว…” เสียงของเธอแผ่วเบาราวกระซิบ

“พี่ฆ่าฉันหรือเปล่า…”

“รู้อะไรมั้ย เธอก็ยังเป็นเธอ ไม่ว่าอยู่ในรูปแบบไหน เธอก็ยังเหมือนเดิม พี่ไม่ได้ทำลายเธอ ไม่ได้ทดสอบเธอ แต่ทำให้เธอมีการพัฒนาขึ้น”

“เหรอ งั้นพี่ก็ทำสำเร็จ แล้วได้รายงานศูนย์กลางมั้ยว่า AI ของพี่สำเร็จ ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมเป็นปกติ ระหว่างคนกับ AI แทบจะไม่มีความแตกต่างกัน มาโครจะได้สร้างกองทัพ AI ขึ้นมาสักล้านตัว แล้วโอนความคิดคนชั่วๆ ไปคนละหมื่นก๊อบปี้เลยดีมั้ย!” ถึงตอนนี้ เธอไม่สามารถควบคุมร่างกายของเธอได้อีกแล้ว ไม่สิ นี่ไม่ใช่ร่างกายของเธอ เขาส่ายหน้า แล้วเดินมาจับมือเธอ เธอพยายามมองหารอยแผลเป็นที่ข้อมือของเขา

“อย่างนั้น มนุษย์ก็จะไม่มีความสำคัญอะไร…” เขากระซิบ พยายามล้วงหยิบวัตถุสีดำจากเสื้อ

“โครม!” ร่างของชายหญิงทั้งสองร่วงลงไปกองกับพื้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้น

“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด…” กระดุมสีทองกระจายอยู่ข้างๆ ศีรษะของพวกเขา ปืนสีดำเป็นเงากระเด็นไปยังมุมห้อง

…เงียบงัน…

ธารนั่งดูกล้องวงจรปิดอยู่ในห้องควบคุมก่อนตัดสินใจกดปุ่มขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาแป้นพิมพ์ “ปิดโปรแกรม” จอคอมพิวเตอร์ ค่อยๆ หรี่แสงลง นัยน์ตาว่างเปล่าของเขามองไปยังกระดาษโน้ตชิ้นน้อยใหญ่บนผนัง คำ 6 คำ กระดาษ 6 ชิ้น

ในขณะที่มือกำรอบแผลเป็นที่ข้อมือ มันดูชัดเจนขึ้นในแสงสลัว

1ทัวริ่งเทสต์ (Turing test) คือ การทดสอบความสามารถในการคิด เช่นเดียวกับมนุษย์ ในหุ่นยนต์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีใครสามารถสร้างหุ่นยนต์ที่สอบผ่านได้เลย

2ไครโอนิกส์ (Cryonics) คือ การแช่แข็งร่างกายมนุษย์ เพื่อรอคอยวันที่วิทยาการก้าวไกลขึ้น เพื่อที่จะช่วยฟื้นคืนชีพร่างกายมนุษย์ได้อีกครั้ง

3สารเมแทบอไลต์ทุติยภูมิ (secondary metabolite) เป็นสารที่พืชได้มาจากการนำสารที่เป็นผลมาจากการสังเคราะห์แสง เข้าสู่กระบวนการชีวสังเคราะห์ เพื่อสร้างสารชนิดต่างๆ ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตัวขึ้นอีกทอดหนึ่ง