เรื่องสั้น | หนี้ที่ใช้ไม่หมด

เช้าแล้ว เสียงนกพิราบดังมาปลุกอยู่ตรงระเบียงเล็กๆ ให้ตื่นขึ้นมา ผมจำเสียงของพวกมันได้ดี เสียงแบบนี้ที่มันพลอดรักอยู่เป็นคู่ กำลังสร้างรวงรังสำหรับวางไข่และต้อนรับลูกน้อยในวันหน้า จึงรีบลุกขึ้นจากเตียงนอนทันที ทั้งๆ ที่ไม่อยากตื่นขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น ช่วงนี้ทำงานหนักมาหลายวัน เมื่อคืนกลับถึงห้องพักเกือบเที่ยงคืน พอหัวถึงหมอนก็หลับด้วยความเหนื่อยเพลีย ไม่ได้ใส่ใจมองออกไปที่ระเบียง เช้านี้พอมองผ่านประตูกระจกใสออกไปก็เห็นแม่นกพิราบนั่งกกไข่อยู่

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นกพิราบมาวางไข่ เป็นครั้งที่สองแล้ว และก็วางไข่อยู่ตรงที่เดิมราวกับเป็นบ้านของมันเอง งานที่ผมทำอยู่ต้องเดินทางค้างแรมไปตามที่ต่างๆ เป็นสัปดาห์ พอกลับถึงห้องพักเล็กๆ ในเมืองหลวงก็พบนกพิราบนั่งกกไข่ให้ความอบอุ่น รอวันที่ลูกนกตัวน้อยๆ จะออกมามองดูโลก ครั้งนั้นไม่กล้าแม้แต่จะราดน้ำบนพื้นระเบียงห้อง เกรงว่าไข่จะเปียกน้ำ กลับมาที่ห้องเพียงเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ลงกระเป๋าพร้อมเดินทางทำงาน อีกสัปดาห์ถัดไปพอกลับถึงห้องก็ไม่เห็นนกพิราบคู่นั้น ไม่เห็นแม้กระทั่งไข่เล็กๆ สองฟองนั้นด้วย เดาไม่ออกว่าหายไปไหน หรือว่ากลายเป็นนกน้อยบินไปในฟ้ากว้างเสียแล้ว แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ ไม่เพียงพอให้สมาชิกใหม่ของมันไปไหนได้ ปีกก็ยังไม่แข็งแรงพอจะโบยบิน หรือว่าถูกสัตว์อื่นมาคาบไปกิน เหลือแต่รังที่เป็นกิ่งไม้เส้นน้อยๆ ทั้งยังมีเส้นลวดถักทอร่วมเป็นรังเล็กๆ ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า

อยากรู้นักว่าครั้งนี้จะมีไข่สักกี่ฟอง พอเปิดประตูออกไป แม่นกก็ลุกจากรังขึ้นมา เดินอยู่ข้างๆ ท่าทางไม่ไว้วางใจผู้มารุกรานกระมัง นึกถามตัวเองในใจว่าคนเรามาแย่งที่ของมันหรือเปล่า

ผู้ใดที่เป็นฝ่ายรุกรานหรือไปบุกรุกล้ำเขตแดนของผู้ใดกันแน่

แม่นกยังยืนอยู่ข้างๆ ไข่ใบขาวสวยสองฟอง มันตั้งท่าจะท้าสู้และจิกตีหากใครขยับเข้าไปใกล้ไข่ของมัน สักพักพ่อนกพิราบคู่รักก็บินมาสมทบ ท่าทางไม่แตกต่างจากคู่ของมันสักเท่าไหร่นัก คงกลัวว่าผมจะเข้าไปทำร้ายลูกเมียของมันก็เป็นได้

ผมถอยหลังออกมา ปิดประตูไม่ไปรบกวนครอบครัวนกพิราบกลุ่มนี้ พลางคิดจะใช้เนื้อที่ตรงระเบียงได้อย่างไรเล่า เพราะวันพรุ่งนี้จะต้องซักเสื้อผ้าก่อนออกทำงานชุดใหม่ จะต้องเทน้ำซักครั้งสุดท้ายตรงระเบียงและตากเสื้อผ้า คิดแล้วก็ให้หนักใจ

จะไปขับไล่พวกมันตอนนี้ก็ไม่ควร

พอแต่งตัวแล้วก็ออกจากห้องพักจะไปซื้อกับข้าวให้แม่ซึ่งพักอาศัยอยู่ชานเมือง ไม่ได้เจอแม่มาเกือบสองอาทิตย์ ตั้งใจจะไปซื้อของที่แม่ชอบให้เก็บไว้กิน ตรงไปที่ตลาดเก่าย่านคุ้นเคย ด้วยเกิด วิ่งเล่นและเติบโตอยู่แถวนั้น แล้วก็ย้ายไปอยู่ชานเมืองในภายหลัง

จะไปซื้อไข่ผัดไชโป๊ของชอบของแม่ ลูกๆ จึงได้กินกันทุกคนตั้งแต่ยังเล็ก พวกเราก่อนไปโรงเรียน แม่จะต้มข้าวต้มจนข้นคลั่ก ทอดปลาอินทรีให้กินกับซีอิ๊วขาว แล้วยังมีไข่เจียวไชโป๊ให้ลูกๆ กินก่อนไปเรียนหนังสือ เป็นอาหารคุ้นเคยที่ลูกๆ รู้สึกเบื่อ เคยถามแม่ว่าทำไมข้าวต้มข้นอย่างนั้น แม่บอกว่ามีสารอาหารและวิตามินมากกว่าข้าวต้มเหลวๆ แล้วยังอยู่ท้องและอิ่มนานกว่าด้วย

ครั้งหนึ่งมีเพื่อนมานอนค้างที่บ้าน เช้าวันรุ่งขึ้นแม่เตรียมกับข้าวอย่างเดิมให้พวกเรา เพื่อนตักข้าวต้มเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดชาม ตักไข่เจียวไชโป๊กับปลาอินทรีกินจนอิ่มแปล้ เขาบอกว่าแม่ทำกับข้าวอร่อยมาก นานๆ จะได้กินข้าวต้มข้นๆ อย่างนี้ จริงอย่างที่เพื่อนเคยพูดไว้ หลังจากเรียนจบทำงานแล้ว ผมก็แยกออกไปอยู่เองตามลำพัง บางครั้งไปกินข้าวต้มตามร้านอาหาร จะหาข้าวต้มอย่างที่แม่เคยต้มให้กินไม่ใช่หาได้ง่ายๆ ถึงจะมีก็ไม่หอมและชวนลิ้มลองอย่างที่แม่หุงให้ลูกๆ ในทุกเช้า

ยามที่ได้กลับไปเยือนถิ่นแถวบ้านเกิดจะรู้สึกดีใจทุกครั้ง ได้ไปเดินตามตรอกซอกซอยที่เคยวิ่งเล่นในวัยเยาว์ ได้ทักทายเพื่อนบ้านเก่าๆ ที่ยังอยู่ที่นั่นด้วยความคุ้นเคย ทักถามทุกข์สุข แล้วจะเดินหาของกินที่เป็นของโปรดของชอบ กินจนอิ่มท้องอิ่มใจ เหมือนไปเติมเสริมเพิ่มกำลังอย่างนั้น

ตรงไปร้านขายกับข้าวของป้าคนหนึ่ง แม่ชอบกินไข่เจียวไชโป๊วฝีมือของป้าคนนี้ เลือกซื้อปลาอินทรีทอดชิ้นใหญ่ๆ หั่นเป็นชิ้นๆ ไม่มีก้างให้เป็นห่วง แม่ชอบกินปลา จึงสั่งปลาใบขนุนนึ่งอีกหนึ่งตัว และผัดใบปอของชอบของแม่อีกหนึ่งถุงไว้กินกับข้าวต้มร้อนๆ ที่ส่งกลิ่นหอมปนไปกับไอร้อนที่ลอยม้วนตัวขึ้นจากชามข้าวอย่างอ้อยอิ่ง

พอเดินออกจากตลาด ตั้งใจจะไปหาซื้อผลไม้ ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ทั้งๆ ที่เช้านี้อากาศยังดีและแจ่มใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง พอสายๆ แดดก็ค่อยๆ ทวีความร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนต้องเดินหลบแดดมาตลอดทาง แต่ตอนนี้ฟ้าที่สว่างไสวกลับแปรเปลี่ยนไป ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีหม่นและเป็นสีเทาในที่สุด แดดก็พลอยหายไปด้วย ความร้อนก็ไม่รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้ ลมโหมพัดแรงขึ้น…แรงขึ้นเหมือนคนโมโหโกรธา พัดจนผ้าใบของร้านค้าเคลื่อนไหวพึ่บพั่บเกิดเสียงดัง

ผมรีบจ้ำฝีเท้าให้เร็วขึ้นๆ รู้ว่าอีกไม่นานนักฟ้าเบื้องบนต้องกลั่นน้ำฟ้าโปรยปรายมาสู่พื้นดินเบื้องล่าง ฝนต้องตกหนักแน่นอน มองขึ้นบนฟ้า ฟ้าทั้งผืนมืดเหมือนจิตรกรระบายสีเทาเข้ม อากาศเย็นขึ้นอีกจนรับรู้ถึงความแตกต่างกับความร้อนอบอ้าวที่ผ่านมา แล้วสายฝนก็โปรยปรายเป็นสายยาวโหมมาอย่างหนักหน่วง จนคนเดินเท้าต้องหยุดและหลบอยู่ชายคาบ้านของร้านค้าแถวนั้น

ฝนตกหนักเทลงมาอย่างแรงเหมือนฟ้ารั่ว สาดกระจายน้ำตาฟ้าไปทั่วทุกทิศทุกทางตามแรงลมที่พัดอย่างไม่เกรงใจผู้ใด ละอองฝนกระเด็นมาถูกเนื้อตัวเสื้อผ้า จนต้องถอยหลังหลบให้ลึกเข้าไปอีก

ทำให้นึกถึงเหตุการณ์และความหลังในวัยเยาว์

ตอนนั้นผมยังเรียนชั้นประถมต้น เช้าและเย็นแม่จะพาเดินไปส่งและรับที่โรงเรียนเกือบทุกวัน ด้วยเห็นว่าลูกยังเล็ก ไม่วางใจเสียทีเดียว แล้วยังต้องข้ามถนนถึงสามสายหลัก หลายครั้งที่ฝนตกในตอนบ่ายหลังเลิกเรียน บางคราวพอเดินไปเพียงครึ่งทางฝนก็เทลงมาอย่างไม่ให้ตั้งตัว แรกๆ แม่ไม่ได้เตรียมร่มไปด้วย เราสองคนแม่-ลูกต้องยืนหลบฝนอยู่ใต้ชายคาบ้าน หากฝนสาดไม่แรงก็พอจะหลบได้ แต่บางคราฝนตกกระหน่ำแรงเกินจะหลบได้พ้น แม่จะกันลูกไว้ข้างหลัง เกรงว่าลูกจะถูกฝนสาดจนตัวเปียกและเป็นไข้ไม่สบายได้ แต่แม่ก็ยอมตัวเปียกรับน้ำฝนที่สาดกระเซ็นแทนลูก

พอเห็นน้ำฟ้าที่โปรยปรายอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดลง ชวนให้คิดถึงน้ำ เด็กๆ ผมจะอาบน้ำ ใช้น้ำเปลือง ชอบเล่นน้ำสนุกตามประสาเด็ก ใช้ขันจ้วงตักน้ำราดตัวจนแม่เคยเอ็ดว่า ต้องรู้จักใช้น้ำอย่างประหยัด อย่าใช้น้ำมากมายสิ้นเปลืองอย่างนั้น น้ำเป็นของมีค่า แม่สอนให้รู้คุณค่าของน้ำมีประโยชน์มากมายคณานับ ยากจะบรรยายได้หมด ทุกชีวิตเกิดจากน้ำ น้ำให้ชีวิตผู้คน คำหนึ่งที่แม่พูดไว้เมื่อผมโตพอจะรู้ความแล้ว แม่บอกว่าตลอดชีวิตคนเราใช้หนี้น้ำก็ไม่หมด ตั้งแต่วันนั้นผมจะใช้น้ำอย่างระมัดระวัง

ครั้งหนึ่งในช่วงวันแม่ ผมนั่งดูโทรทัศน์กับแม่ คืนนั้นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระราชินีของในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสถึงเรื่องน้ำ น้ำเป็นสิ่งสำคัญและมีค่ามากล้ำ น้ำในประเทศอื่นทางยุโรปจะไหลมาจากบนยอดเขาสูงที่มีหิมะเกาะขาวโพลนตลอดทั้งปี พอเข้าฤดูร้อนก็ค่อยๆ ละลายเป็นน้ำสะอาดไหลมาลงตามลำธารและแม่น้ำ แต่ในประเทศไทยแหล่งน้ำมาจากป่าเขาลำเนาไพร พระองค์ทรงสอนให้คนไทยรักป่าเขาธรรมชาติ ไม่ตัดไม้ทำลายป่าซึ่งเป็นแหล่งเกิดของต้นน้ำลำธาร ขอให้ช่วยกันรักษาแหล่งน้ำ เพื่อให้ลูกหลานมีน้ำใช้สืบต่อไป ทั้งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เคยตรัสไว้ว่า คนเราขาดน้ำไม่ได้ แต่ขาดไฟยังอยู่กันได้ สมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าเหมือนอย่างทุกวันนี้ก็ยังดำรงชีวิตมาได้ หากไม่มีน้ำ คนเราคงไม่อาจมีชีวิตผ่านมาถึงตอนนี้ได้

แล้วแม่ก็หันมามองดูลูกๆ เหมือนจะบอกว่าต้องจำไว้…อย่าได้ลืมพระราชดำรัสของพระองค์ท่านทั้งสองผู้เป็นที่รักยิ่งและเทิดทูนของคนไทย

แม่ยังพูดเสริมว่า นอกจากเป็นหนี้น้ำแล้ว พวกเรายังเป็นหนี้แผ่นดินบ้านเกิด ต้องรู้จักตอบแทนและกตัญญูรู้คุณกับประเทศชาติอีกด้วย

แม่บอกว่าคนเราใช้หนี้น้ำไม่หมด เป็นหนี้น้ำและแผ่นดิน ลูกก็อยากบอกแม่เช่นกันว่า ตลอดชั่วชีวิตของลูกก็ใช้หนี้บุญคุณของแม่ไม่หมดเช่นกัน

ฝนตกอยู่นานและหนักจนซาลงเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง น้ำฟ้าอำลาท้องฟ้าลงสู่ดินชะล้างดินฝุ่นละอองให้สะอาดตาขึ้น ฟ้าเบื้องบนกลับมาสว่างไสวอีกครั้งเหมือนไม่ใช่ฟ้าเดียวกัน…ช่างแตกต่างกันนัก

ผมก้าวเท้าไปซื้อผลไม้ แม่ชอบส้ม กล้วยและฝรั่ง ซึ่งแม่หาซื้อได้จากตลาดแถวบ้าน วันนี้ที่ตลาดมีเชอร์รี่ เคยซื้อไปฝากแม่และน้องๆ ตอนไปทำงานเมืองนอก แม่รู้ว่าเป็นผลไม้เมืองนอกและราคาแพง บางครั้งผมซื้อไปให้แม่ แม่จะบอกว่าอย่าซื้อมาเลย ลูกๆ รู้ว่าแม่ไม่ชอบให้ลูกซื้อของแพงไปให้ อยากให้ลูกๆ ประหยัด นึกจะโทรศัพท์ไปถามแม่ว่าจะซื้อเชอร์รี่ไปที่บ้าน รับรองแม่ต้องบอกปฏิเสธเสียงแข็ง จึงไม่คิดจะถาม

เย็นนี้พวกเราคงได้ยินเสียงแม่เอ็ดและบ่น…เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

เกิดคิดถึงครอบครัวนกพิราบตรงระเบียงห้อง ฝนตกหนักรุนแรงอย่างนั้น คงสาดไปทั่วระเบียงจนเปียกไปหมด และอาจเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ไข่นกสองฟองนั้นจะเป็นอย่างไรหนอ ใจลอยไปถึงนกทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงห้องพัก แม่นกคงนั่งกกปกป้องไข่ยอมเปียกไปทั้งตัวเป็นแน่ คงไม่ต่างจากวันฝนตกหนักที่แม่ป้องฝนให้ลูกตอนเด็กๆ อย่างแน่นอน

ถ้าน้ำเจิ่งนองไปถูกไข่นก ต้องมีผลไปถึงลูกนกในไข่ที่ยังไม่ฟักเป็นตัว ไข่เล็กๆ สองใบนั้นอาจจะฝ่อ

คิดแล้วรู้สึกกังวลใจอย่างไรชอบกล จ้ำเท้าเร็วขึ้นรีบกลับห้องพัก เป็นห่วงแม่นกกับไข่ของมันเสียเหลือเกิน ได้แต่หวังว่าแถวห้องพักฝนอาจจะไม่ตก อย่างที่บอกกันว่าฝนตกไม่ทั่วฟ้า หรือถ้าตกก็ขอให้ฝนโปรยเพียงบางเบา อย่าได้ไปถูกไข่นกเลย

นึกถึงแม่ที่แก่เฒ่าตามวันเวลาที่ผ่านไป เมื่อมีเวลาว่างจะไปหาแม่ พูดคุยหยอกล้อให้แม่หัวเราะหัวใคร่สนุกสนาน ไปกินข้าวเป็นเพื่อนแม่ วันเวลาที่เหลืออยู่ก็ลดน้อยหายไปเรื่อยๆ

“แม่” คำเดียวสั้นๆ เขียนง่ายๆ แต่ยิ่งใหญ่มหาศาลเกินคณานับ