การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ทำไมเราจึงรักและคิดถึงใครบางคน

[คนเดินทางคะ

ฉันอยากให้เธออ่านหนังสือเรื่อง “เจ้าชายน้อย” ที่ส่งมาให้พร้อมกับจดหมายฉบับนี้ เธอจำได้ไหม ฉันเคยเขียนตอนหนึ่งบอกเธอว่า “สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นด้วยตา ฉันอยากให้เธอลองอ่านบทที่มีหมาจิ้งจอกตัวนั้น

หรือถ้าเธอจะอ่านตอนอื่นๆ แล้วชอบมัน มีตอนไหนที่เธอถูกใจ เขียนมาเล่าให้เราฟังด้วยนะคะ”]

 

ฉันเปิดกล่องพัสดุไปรษณีย์อีกครั้งหนึ่ง และก็พบหนังสือเล่มหนึ่งวางมาบนสุด หน้าปกเป็นรูปเด็กผู้ชายผูกผ้าพันคอสีแดง กำลังทำอะไรสักอย่าง คล้ายๆ กวาดใบไม้อยู่บนลูกโลกสีส้มๆ มีดวงดาวมากมายรายรอบ ท้องฟ้ามีสีเขียว สีน้ำเงิน คล้ายๆ ก้อนเมฆจะเจือสีม่วงในบางชั้น

สวยจัง…

เมื่อพลิกเปิดดูด้านใน หน้าแรกมีรูปวาดงูกำลังพันรัดสัตว์ตัวหนึ่งอยู่ แล้วมีข้อความว่า

[ขณะที่ผมอายุได้เพียงหกขวบ ผมพบรูปภาพที่แสนวิเศษรูปหนึ่ง ในหนังสือเกี่ยวกับป่าดงดิบชื่อ “เรื่องจริงจากธรรมชาติ” เป็นรูปงูเหลือมกำลังกลืนเหยื่อ นี่คือรูปที่ลอกมา1

เขาอธิบายไว้ในหนังสือว่า “งูเหลือมกลืนเหยื่อทั้งตัวโดยไม่เคี้ยวเลย ไม่นานมันก็ขยับไปไหนไม่ได้ จนต้องนอนนิ่งอยู่หกเดือนเพื่อรอให้อาหารย่อยเสร็จ”

ผมนั่งคิดใคร่ครวญถึงเรื่องการผจญภัยในป่าใหญ่ และกับความพยายามด้วยดินสอสี ผมพบความสำเร็จในการวาดรูปแรกในชีวิต รูปภาพหมายเลขหนึ่งของผมออกมาอย่างนี้…]

นี่เป็นหนังสือแบบไหนกันนี่ เป็นนิทานสำหรับเด็กหรือยังไง แล้วหมาจิ้งจอกตัวที่เพียงบัวพูดถึงอยู่ไหน

แต่กำลังจะพลิกเปิดดูหน้าต่อไป ก็ได้ยินเสียงเรียกมาจากถนนที่ผ่านหน้าบ้าน ตรงกับช่องหน้าต่างห้องนอนพอดี

“อีพี่! อีพี่!”

พับปกหนังสือลงอย่างทะนุถนอม ลุกขึ้นชะโงกส่องผ่านช่อง ร่างเล็กแกร็นของยายร่อยยืนกระวนกระวายอยู่

“พ่อแม่มึงไปไหน ไฟดับมืดทั้งบ้าน!”

“พ่อไปส่งผี แม่กับน้องไปบ้านใต้” ฉันร้องตอบ

“ว่ายังไงนะ! มึงพูดดังๆ กูไม่ได้ยิน!”

ตามเคยของยายร่อย ทำให้ฉันอดหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้…เหมือนเช่นเคย ที่ไม่เคยรู้สึกสบายใจเมื่อได้มองเห็นร่างเล็กนั้น

“พ่อไปส่งผี! แม่กับน้องไปบ้านใต้!” ฉันตะโกนลงไป

“เออๆ ได้ยินแล้ว! แล้วทำไมมึงไม่เปิดฟืนเปิดไฟ!”

สุดท้ายก็จำเป็นต้องลุกออกมาจากห้อง เปิดไฟในเติ๋นและใต้ถุน ตามจริงก็ยังไม่ถึงกับมืดจนมองอะไรไม่เห็น แต่ความเป็นคนขี้ขลาดขี้กลัวของยายร่อยแน่แท้ จึงไม่กล้าแม้จะย่างเข้าเขตบ้านในยามค่ำสลัว

“เอ้า เปิดไฟให้แล้ว ยายมีอะไร?”

“กูจะมาขอมึงไปนอนเป็นคู่อีปิมหน่อย”

“อ้าว” ฉันมองหน้าแห้งเหี่ยวเซียวซูบนั้น สังเกตว่า ตาดูแดงๆ ช้ำๆ อย่างไรอยู่

“แล้วยายจะไปไหน”

“กูจะไปหาอ้ายน้อยมัน”

อ้ายน้อยอีกแล้ว อ้อ แต่ฉันรู้แล้วว่าคือลูกชายคนหนึ่งของยายร่อย คนที่มาส่งข่าวเรื่องรอย แล้วสุดท้ายก็ถูกตำรวจเอาเงินไปเสียเกลี้ยง

“ไปหาที่ไหน แล้วทำไมต้องไปค่ำมืดดึกดื่นอย่างนี้”

“คนเขาบอกมาว่าอ้ายน้อยโดนตำหนวดจับ” ยายร่อยเสียงเดือดเนื้อร้อนใจ “ตอนนี้ติดคอกอยู่โรงพักที่แม่แตงพู้น กูถึงต้องไปคืนนี้ ลุงมึงจะช่วยจ้างรถไปส่ง”

หลานยังไม่ได้ออกจากคุก ลูกชายก็เข้าไปอยู่ในคอกอีกคน เป็นเวรกรรมอะไรของคนอย่างยายร่อย และพลอยเดือดร้อนมาถึงตัวฉัน

หากมองดูนัยน์ตาคู่นั้น ก็ได้แต่ปากตอบไปว่า

“งั้นยายก็ไปเถอะ”

“หรือมึงจะให้มันมานอนบ้านมึงก็ได้ นอนไหนก็ตามใจพวกมึง หับประตูให้กูเสียดีๆ ก็พอ”

“เอ๊ะ ยาย” ฉันคิดขึ้นได้อย่างหนึ่ง “แล้วทำไมยายถึงต้องมาบอกเอง รีบเร่งมากก็ไปเลยสิ ทำไมไม่ให้ปิมมาบอก…”

“กูบอกมันแล้ว! ก็ไม่รู้ยังไงของมัน บอกว่าจะอยู่คนเดียวก็ได้ เห็นก้มหน้าก้มตาทำการบ้านไม่รู้จักแล้วสักที กูรึก็อดห่วงไม่ได้ ปล่อยมันไว้ในบ้านคนเดียว ตกดึกตกดื่น ผีมาเต็กบีบคอเข้าจะทำยังไง!”

คิดสะระตะแล้วว่า ถ้าต่อความยาวไปคงไม่จบสักที เพื่อให้ทุกอย่างง่ายเข้า ฉันจึงต้องบอกยายร่อยว่า

“เอาเถอะ เดี๋ยวจะช่วยไปอยู่เป็นคู่ให้ ยายรีบไปเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”

“ซ้าธุ” ยายร่อยยกมือจบหน้าผาก “นานทีปีหนมึงจะเป็นคนดีกับเขาขึ้นมา ใจกูก็คิดอยู่ว่ามึงไม่ใช่คนง่าวคนสึ่งอะไร ถ้ากูได้ของกินลำๆ ต่อไปจะเอาแบ่งสู่มึงบ้าง!”

“รีบไปเถอะยาย” ฉันตัดบท แล้วเป็นฝ่ายรีบผละจากกลับขึ้นบันไดเรือน “รอพ่อแม่มาแล้วจะไปหามันเอง”

 

[เพียงบัว, มิตรที่น่ารักเสมอ

เราขอบคุณเธอมากนะ สำหรับจดหมายและหนังสือที่ส่งมาครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ดีกับเราจริงๆ

นี่วันนี้ อีกสักพักเราก็จะต้องไปที่บ้านอีกหลังหนึ่ง วันนี้จะต้องไปอยู่เป็นเพื่อนของญาติคนหนึ่ง ซึ่งอยู่บ้านคนเดียว

…เราเปิดอ่านหนังสือไปได้อีกหลายหน้าแล้วล่ะ และ…เราสารภาพว่าได้อ่านข้ามๆ ไป เพื่อค้นหาหมาจิ้งจอกของเธอ

และเราก็เจอแล้ว]

ฉันไม่ได้เจอเด็กผมขอดมาหลายสัปดาห์ หรืออาจจะเป็นเดือนแล้วก็ได้ นับจากครั้งสุดท้ายที่เด็กหญิงยืนร้องไห้อยู่เบื้องหน้า ฉันไม่ชอบน้ำตาสุกสกาวเหล่านั้น พอๆ กับไม่ชอบที่มันเป็นส่วนหนึ่งของคำร้องขอ

ฉันไม่ชอบให้ตัวเองตกอยู่ในเงื่อนไขของใครอื่นอีกต่อไป นั่นคือเท่าที่คิดได้ ในวันที่จิตใจไม่อยู่ในเมืองเล็กๆ ในเวิ้งหุบเขาสักเท่าไหร่

แต่หัวใจฉันไปลอยเคว้งคว้างอยู่ไหน บางที ก็อาจแค่ปลิวไปกับจดหมายซองขาวๆ

[เราชักจะชอบหมาจิ้งจอกเหมือนเธอแล้วล่ะ อืม…คิดว่า เราชอบตอนนี้นะ

-…เธอกำลังตามหาไก่รึเปล่า

– เปล่าหรอก ฉันกำลังตามหาเพื่อน “ฝึกให้เชื่อง” แปลว่าอะไร เจ้าชายน้อยถาม

– มันเป็นสิ่งซึ่งมักจะถูกหลงลืม มันคือการ “สร้างความผูกพัน” สุนัขจิ้งจอกตอบ

– สร้างความผูกพันหรือ

– ใช่แล้ว สำหรับฉันเธอก็เป็นเพียงเด็กชายเล็กๆ เหมือนเด็กอื่นๆ เป็นร้อยเป็นพัน ฉันไม่ต้องการเธอ เธอก็ไม่ต้องการฉันเหมือนกัน และสำหรับเธอ ฉันก็เหมือนสุนัขจิ้งจอกอื่นๆ นับร้อยนับพันนั่น แต่ถ้าเธอฝึกให้ฉันเชื่อง เราก็จะต้องการกันและกัน เธอจะเป็นหนึ่งเดียวในโลกสำหรับฉัน และฉันก็จะเป็นหนึ่งเดียวในโลกสำหรับเธอ สุนัขจิ้งจอกกล่าว

– ฉันเริ่มจะเข้าใจแล้ว มีดอกไม้ดอกหนึ่ง ฉันคิดว่าเธอได้สร้างความผูกพันกับฉัน เจ้าชายน้อยกล่าว

– อาจเป็นไปได้ คนเรามีทัศนะต่อโลกได้หลายๆ แบบ สุนัขจิ้งจอกพูด]

 

ฉันไม่เคยอ่านหนังสือแปลกอย่างนี้มาก่อนเลย อดพลิกดูเล่มไม่ได้ ก็แค่บางๆ ตัวหนังสือโตอ่านง่าย ถ้อยคำเหมือนจะง่าย แต่ก็ยาก หากพอคิดว่ามันยาก ก็กลับรู้สึกเต็มไปด้วยความเข้าใจ

หนังสืออะไรกันนี่! แปลกยิ่งนัก ที่สำคัญ ฉันนึกชอบ “เจ้าชายน้อย” กับจิ้งจอกตัวนั้นเข้าให้จริงๆ

[- ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบเลย สุนัขจิ้งจอกถอนหายใจ แล้วจึงเกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง

– ชีวิตฉันซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย ฉันวิ่งล่าไก่ แล้วคนก็ล่าฉันอีกที ไก่เหมือนกันหมดทุกตัว และคนก็เหมือนกันหมดทุกคน ฉันก็เลยเริ่มจะเบื่อบ้างแล้ว แต่ถ้าเธอสร้างความผูกพันกับฉัน ชีวิตฉันจะเจิดจ้าดุจแสงตะวัน ฉันจะได้รู้จักเสียงฝีเท้าที่แตกต่างกันไปจากของเก่าๆ เสียงฝีเท้าของคนอื่น ทำให้ฉันต้องวิ่งไปซ่อนใต้ดิน แต่ของเธอจะทำให้ฉันรีบวิ่งออกมาจากโพรง และมันจะไพเราะดุจเสียงดนตรี ดูสิ, เธอเห็นทุ่งข้าวสาลีไหม ฉันไม่กินขนมปัง ข้าวสาลีจึงดูไร้ค่าสำหรับฉัน ทุ่งข้าวสาลีจะไม่ทำให้ฉันนึกถึงอะไรเลย และนั่นเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก แต่ผมของเธอเป็นสีทอง ดังนั้นมันจะเป็นที่น่ามหัศจรรย์ขนาดไหนถ้าเธอจะผูกสัมพันธ์กับฉัน ทุ่งข้าวสาลีสีทองจะทำให้ฉันหวนคิดถึงเธอ และฉันก็จะชอบฟังเสียงสายลมหยอกล้อต้นข้าว

สุนัขจิ้งจอกนิ่งเงียบและจ้องมองเจ้าชายน้อยอยู่นาน

– ช่วยฝึกให้ฉันเชื่องด้วยเถิด เขาพูด]

 

ฉันอ่านทวน 3 ย่อหน้านั้นถึง 3 ครั้ง เพื่อจะหายใจเข้าในอกลึกๆ…เพียงบัวช่างฉลาดเหลือเกิน เธอฉลาดเพราะอ่านหนังสือแบบนี้ หรือเพราะหนังสือแบบนี้ถึงทำให้เธอฉลาด?

ฉันอ่านหนังสือแบบข้ามไปข้ามมา อารามอยากจะค้นหา “หมาจิ้งจอก” ของเพียงบัว อีกมีภารกิจที่รับปากยายร่อยไว้ แต่สิ่งที่พุ่งเข้ามากระทบใจ…จากแต่ละบรรทัดที่ได้อ่าน ก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีการ “ค้นพบ” บางสิ่ง

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของฉัน บางวัน ฉันก็คงเหมือนเจ้าชายน้อยคนนี้ที่เดินทางเร่ร่อนไป แต่บางวันก็ไม่ต่างอะไรกับหมาจิ้งจอกที่เฝ้ารอ…รอใครสักคนจะมาทำให้เชื่อง

“ช่วยฝึกให้ฉันเชื่องด้วยเถิด” มันช่างเป็นถ้อยคำที่ไพเราะเหลือเกิน ใครหนอ ที่จะฟังฉันพูดคำนี้

โดยที่…ฉันไม่ต้องเปล่งเสียงออกมา

 

ยินเสียงฝีเท้าดังเข้าประตูรั้วมา เสียงน้องหัวเราะคิกคัก พร้อมกับได้ยินเสียงพ่อพูดกับแม่…อ้อ ทุกคนกลับมาพร้อมกัน ก็ดีเลย ฉันจะได้ไปบ้านยายร่อยโดยสะดวกหลังจากนี้

หากทันใด ก็มีสิ่งกระทบในใจวูบหนึ่ง ฉันอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เพื่อจะยิ่งคิดถึงมิตรแดนไกลที่ไม่เคยเห็นหน้าคนหนึ่ง หากกับอีกคนคนหนึ่ง…ไม่ใช่สิ กับอีกคนกลุ่มหนึ่ง เด็กผมขอด หวาน หรือแม้แต่ผู้หญิงผมยาว ฉันกลับปราศจากความรู้สึกโหยหาอาลัย

อยู่ก็ได้ ไปก็ไม่อาวรณ์ ขณะที่มีความนัยซ่อนซ้อนในตาเหล่านั้น ใช่ว่าฉันจะดูไม่ออก

หมาจิ้งจอกบอกว่า “มันจะเป็นที่น่ามหัศจรรย์ขนาดไหนถ้าเธอจะผูกสัมพันธ์กับฉัน”

มันก็คงจะใช่…ฉันรู้ ความรัก ความคิดถึง ความไว้วางใจ ฉันรู้จักมันมาแล้วทั้งหมดนั่นแหละ เพียงแต่ว่า ความลับมันคืออะไร ทำไมเราจึงรักและคิดถึงใครบางคน แม้คนคนนั้นจะไม่ได้สัมพันธ์กับเราเลย แล้วทำไมเราจึงรู้สึกเฉยๆ กับคนที่ดีแสนดีกับเรา คนที่เขา “เชื่องแสนเชื่อง” กับเราแล้ว

ทำไม…?

—————————————————————————————————————————–
(1) จากหนังสือเรื่อง เจ้าชายน้อย, อังตวน เดอ แซงเตกซูเปรี เขียน, อริยา ไพฑูรย์ แปล