เรื่องสั้น : ดาวส่องเมือง (1)

สายลมระคนไอหมอกเย็นยะเยือก กระโชกซัดผ่านชะง่อนผา บนยอดเขาสูงเทียมเมฆ แผ่นฟ้าคืนนี้สีดำสนิท ประดับประดาด้วยหมู่ดาวสีเงินวาวเต้นระยิบระยับ, ณ เบื้องล่าง แสงไฟดวงเล็กๆ นับหมื่นดวง พากันเปล่งแสงแข่งกับหมู่ดาวบนท้องฟ้า

เด็กหญิงทรุดตัวนั่งลงที่ลานโล่งริมผา มองไปยังเบื้องล่างอย่างตื่นตาพร้อมกับความสงสัย แหล่งกำเนิดประกายไฟดวงเล็กๆ นั่น เธอเคยเอ่ยถามปู่จนได้รู้ว่าเป็นดวงไฟที่เกิดจากสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ แม้ปู่จะบอกว่าแสงจากดวงไฟนั้นสวยงามสู้แสงจากดาวบนฟ้าไม่ได้ กระนั้นเธอก็อยากลงไปเห็นกับตาตัวเองสักครั้ง

เสียงหนึ่งดังขึ้นและลอยคว้างอยู่ท่ามกลางสายลมโชย เด็กหญิงสะดุ้งหันหลังกลับไปยังต้นทางของเสียง เพ่งมองยังใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยหิ่งห้อยนับร้อย เปล่งแสงน้อยๆ เกาะตามใบไม้ ระยิบระยับสวยไม่แพ้ดาวบนฟ้าและดาวในเมือง ชายชราค่อยๆ เดินฝ่าความมืดออกมา

“ปู่” เธอร้องทักขึ้น เผยรอยยิ้มอันเปี่ยมสุข แทบทุกค่ำคืนเธอจะแอบมาที่ริมหน้าผาแห่งนี้ และก็เป็นปู่นั่นเองที่รู้ว่าจะตามหาได้ที่ไหนหากไม่เห็นเธอ

“นึกแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่ ค่ำแล้ว มาทำไม” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงความกังวลใจไว้เต็มอก

“ก็อยากมาดูดาวบนดิน มาตอนกลางวันจะเห็นเหรอปู่” เด็กหญิงส่งเสียงยอกย้อนตามนิสัย

“ไม่เบื่อบ้างหรือไง”

“ไม่เบื่อหรอก ไม่มีทางเบื่อ ปู่ก็รู้ว่าหนูชอบดูดาวในเมือง มันสวยกว่าดาวบนฟ้าที่หนูเห็นจนเบื่อแล้ว” เธอพูดอย่างกับคนที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก

“เดี๋ยวก็จะได้ลงไปแล้ว ไปนั่งมองให้เต็มตาทั้งวันทั้งคืนเลยเป็นไง” เสียงแตกหนุ่มของใครบางคนลอยมาจากใต้ต้นไม้

หนุ่มน้อยวัยเพิ่งเต็มสิบหกปรากฏตัวขึ้นเดินมายืนเคียงข้างปู่ เขาเบะปากกอดอกมองหน้าน้องสาวด้วยหางตา เด็กหญิงชักสีหน้าทันที ไม่พอใจในคำพูดประชดประชันของเขา ทุกคราวที่เธอเอ่ยชื่นชมเมือง เขามักชักสีหน้าและพูดกระทบกระเทียบออกมา

“ไปไกลๆ เลย อย่ามาหาเรื่องนะ” เด็กหญิงทำหน้าเง้าจ้องกลับ โดยมีปู่ยืนสีหน้าตึงเครียดเหมือนคิดอะไรบางอย่างด้วยความหนักใจ จนไม่ได้สนใจหลานทั้งสองซึ่งกำลังลับฝีปากกันอย่างไม่ยอมลดราวาศอก

“เรากำลังจะโดนไล่ให้ลงไปอยู่ข้างล่าง ทุกคนกำลังเศร้าเสียใจ มีแต่เธอคนเดียวนั่นละที่ดีใจจนตัวสั่น” วาโพพูดเสียงเครียด

“ทำไมจะต้องเสียใจ ลงไปแล้วมันอาจดีก็ได้”

“ดียังไง เราเกิดและเติบโตกันที่นี่ ถ้าไปอยู่ข้างล่าง แล้วจะทำมาหากินอะไร” วาโพพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ เด็กหนุ่มเตะหินก้อนหนึ่งที่พื้นกระดอนไป

ชายชราครุ่นคิดคำพูดของหลานชาย ใช่ว่าแกจะไม่รู้ว่าสิ่งที่รออยู่ข้างล่างนั่นคืออะไร แต่ไม่มีใครสามารถฝ่าฝืนคำสั่งของทางราชการได้ ทั้งที่พวกแกอยู่ที่นี่มาก่อนจะประกาศเป็นเขตอุทยานด้วยซ้ำ พวกแกถูกผลักดันและขับลงจากเขาด้วยเหตุผลว่า เพื่อเป็นการป้องกันการบุกรุกแผ้วถาง ตัดไม้ทำลายป่าและล่าสัตว์ ซึ่งมันไม่เป็นความจริง พวกแกรักป่า ดูแลป่า เพราะป่าดูแลชีวิตพวกแกมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษที่เกิดและตายในประเทศไทย แต่จะให้ทำอย่างไร ใครจะมาฟังความจริงจากปากพวกแก ยิ่งคิดชายชรายิ่งกลัดกลุ้มอยู่ในอก

“ยังไงหนูก็จะไป พี่วาโพไม่อยากไปก็อยู่ไปสิ ไปแอบอยู่ก้นเหวนั่นไง ไม่มีใครหาเจอหรอก” เด็กหญิงชี้ว่าพลางทำสีหน้าเย้ยหยันผู้พี่ ยิ่งกลายเป็นการยั่วยุ จากนั้นทั้งสองก็ทะเลาะกันอย่างหนัก

ปู่ยืนฟังเหตุผลของแต่ละฝ่ายอย่างอ่อนใจ หลานรักทั้งสองปะทะอย่างไม่กลัวความเป็นพี่น้องจะพังพินาศ จนคนเป็นปู่ต้องเดินจากมาอย่างทนฟังไม่ได้

น้องสาวสะบัดหน้าใส่ เดินกลับบ้านไปแล้ว ทิ้งพี่ชายไว้กับความคั่งแค้น นึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น เขาเกลียดเมือง เกลียดเจ้าหน้าที่คนนั้น คนที่เคยมัดมือเขาไพล่หลัง เกลียดพวกนั้นทั้งหมดที่บอกว่าจะปล่อยตัวหากเขาสารภาพ แต่สุดท้ายกลับถูกขัง ภาพวันที่ถูกจับในป่าลอยขึ้นมากลางอากาศ กางขึงอยู่บนแผ่นฟ้าสีดำสนิท วันนั้นเขาเล่าให้เจ้าหน้าที่ฟังว่าได้ตกปากรับคำนักท่องเที่ยวให้พาเข้าป่า พวกนั้นบอกว่าอยากไปส่องดูเสือแต่กลับฆ่ามัน “ผมแค่นำทางเท่านั้น” – เขาพูดด้วยอาการตัวสั่น น้ำตาคลอ พวกเจ้าหน้าที่บอกผ่านล่ามว่าหากสารภาพทุกอย่างจะปล่อยตัวไป เขาดีใจละล่ำละลักเล่าต่อว่า พอรับเงินค่าจ้างเขาก็เดินแกะรอยจนพบ แต่แล้วพวกนั้นกลับยกปืนขึ้นยิงเสือ เขาห้ามแล้วแต่ไม่มีใครฟัง หลังเสือตาย เจ้าหน้าที่ก็มาพอดี พวกนั้นวิ่งแตกกระเจิง หนีไปคนละทิศละทาง ไม่มีใครถูกจับยกเว้นเขา เขาเล่าออกมาแบบหมดเปลือก ทว่าหลังล่ามบอกให้รู้ว่าเขาต้องถูกคุมขังไว้จนกว่าจะจับได้ทั้งขบวนการ เขาถึงกับระเบิดเสียงร้องไห้โฮออกมาอย่างผิดหวัง ความเสียใจระคนความโกรธระเบิดอยู่ในอก ความสิ้นหวังและปวดร้าวฟุ้งตลบไปทั่วห้องขัง เขาร้องไห้แทบทุกคืน มันเป็นเรื่องที่ฝังในใจเขาตลอดมา สุดท้ายเขาถูกขังอยู่เกือบปี ก่อนจะถูกปล่อยตัวออกมาโดยไม่มีใครบอกเหตุผล

เด็กหนุ่มตะเบ็งเสียงขึ้นอย่างเจ็บปวดดังสะท้อนขุนเขาที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงข้าม และคล้ายจะมีใครอีกคนยืนอยู่ตรงนั้นแล้วส่งเสียงกลับมาด้วยประโยคเดียวกัน ซึ่งเป็นน้ำเสียงแห่งความเจ็บร้าวไม่ต่างกัน เขายืนกัดฟันจนกรามนูนเป็นสัน กำหมัดทั้งสองแน่น ตาจ้องเขม็งจากริมผาลงไปยังแสงไฟดวงเล็กๆ ที่ขึ้นเต็มลานดิน

เมื่อกลับถึงบ้าน พบปู่กำลังก้มๆ เงยๆ เก็บของลงตะกร้าสานใบใหญ่ เพื่อนบ้านหลายคนต่างก็ขนย้ายของออกจากยุ้งข้าว ทุกคนอยู่ในอาการอาลัยอาวรณ์ไม่ต่างกัน อย่างที่ปู่เคยพูด พวกเราโตมาพร้อมกับต้นไม้บางต้น เห็นกันทุกวันจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ถิ่นที่เกิดก็หวังจะให้เป็นถิ่นตาย ดินที่โอบอุ้มเราและบ้านเรือนก็อยากให้กลบหน้าหลังหมดลมหายใจ หากแต่ตอนนี้จำต้องทิ้งความผูกพันทุกอย่างไว้ที่นี่ ใครก็ยากจะทำใจได้ กว่าสามสิบครัวเรือนกำลังจะถูกสายลมแห่งโชคชะตาพัดลงจากที่สูงลงสู่เบื้องล่าง

วาโพพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ระบายความเสียใจไปกับการระบายลมหายใจออกแรงๆ แล้วช่วยปู่ยกตะกร้า ผูกมัดข้าวของรวมกันให้แน่นหนา ชำเลืองมองหยาดน้ำตาของใครหลายคน ที่กำลังยกของออกมากองไว้หน้าเรือนของตน อย่างเงียบงัน

ตะวันใกล้ตรงหัว กลุ่มเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าราวยี่สิบคนทยอยเดินขึ้นมาถึงหมู่บ้าน กะเกณฑ์ให้ชาวเขาทั้งหมดที่สั่งให้เก็บสัมภาระไว้พร้อมแล้วลงไปอยู่ในที่พักตีนเขา ตาเฒ่าเซงดู-ชายชราผู้มีอายุยืนที่สุดในหมู่บ้านยืนอาลัยนาข้าว ขณะบอกลูกหลานให้ยกชะลอมใส่ไก่หลายสิบตัวที่ลงแรงเลี้ยงไว้ด้วยตัวเอง แม้ปากแกจะบอกว่าถึงอย่างไรก็ไม่ยอมไปไหน จะต่อสู้จนถึงที่สุด แต่เมื่อเจ้าหน้าที่มาหยุดยืนที่หน้าเรือน ปากแกก็สั่นจนไม่สามารถพูดสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้ ยืนน้ำตาไหลดูเจ้าหน้าที่คนหนึ่งสั่งพรรคพวกให้รื้อถอนบ้านเรือนและยุ้งข้าว ทุกคนที่ได้ยินก็ยืนอึ้งตะลึงงัน รีบทักท้วงเป็นเสียงเดียวกันว่าจะไม่ยอมให้รื้อถอนเหย้าเรือนที่ลงแรงปลูกสร้างมากับมือเด็ดขาด จะปล่อยให้เป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำไว้ที่นี่ คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหันหลังกลับไปพูดอะไรสักอย่างกับลูกน้องด้วยภาษาที่ฟังไม่ออก แล้วหันมาพยักหน้าเป็นการอนุญาตตามที่ถูกขอร้อง ปู่รู้สึกโล่งใจ มองแปลงพริกของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย เดินไปเด็ดเม็ดพริกสีแดงหลายกำมือวางลงบนห่อผ้าดิบสีหม่น แล้วม้วนเก็บเข้าย่ามติดตัวไปด้วย วาลาก้มลงเก็บเม็ดที่ร่วงจากกำมือปู่ขึ้นใส่ห่อผ้าเล็กๆ ของตัวเองอย่างกระฉับกระเฉง ผิดกับวาโพที่ต้องทำใจอย่างหนักกว่าจะหยิบของได้แต่ละชิ้น กระฟัดกระเฟียด ตาขวางใส่เจ้าหน้าที่ตลอดเวลา

เจ้าหน้าที่พากลุ่มชาวเขาทั้งหมดทยอยเดินลงเขา ระหว่างหยุดพักเหนื่อยครึ่งทางใต้ร่มเงาไม้ เด็กหญิงวาลามองใบหน้าปู่ดูอ่อนแรง อาจเพราะต้องแบกสัมภาระหลายอย่างเกินกำลัง เด็กหญิงยื่นกระบอกทรงสูงให้ ชายชราส่ายหน้า ตอบสั้นๆ ด้วยริมฝีปากแห้งผาก

“อีกนานมั้ยปู่ ถึงจะถึง” เด็กหญิงเอ่ยถามพลางมองลงไปยังพื้นที่ทางชันเบื้องล่าง ชายชรามองหน้าหลานสาวด้วยสีหน้าเศร้า

“ไม่รู้” แกตอบพลางหันกลับไปมองยังทางที่เดินจากมาอย่างอาลัยอาวรณ์ วาโพเดินมานั่งใกล้ปู่ เขามีสีหน้าไม่สู้ดี บอกปู่ว่าลืมนำของสำคัญมาด้วย อยากกลับไปเอาที่บ้าน เมื่อปู่ถามว่าของนั้นคืออะไร เขาจึงตอบว่าเป็นเหรียญชาวเขาของพ่อ ปู่พยักหน้ารู้สึกกังวล กำชับให้ระวังตัว

“รีบไปเถอะ” แกกระซิบบอกหลานชาย “ปู่จะพยายามเดินช้าๆ แต่ถ้าตามไม่ทัน ให้ไปถามที่อุทยาน”

วาโพพยักหน้ารับ มองหน้าน้องสาวแล้วรีบลุกเดินไปหย่อนก้นนั่งห่างจากปู่ราวสิบวา เขามองหน้าเพื่อนสองคนซึ่งเป็นหลานของตาเฒ่าเซงดู ส่งสัญญาณให้เตรียมพร้อม เมื่อแน่ใจแล้วว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้สนใจพวกเขา จึงค่อยๆ ลุกขึ้น วาดเท้าย่องออกไปอย่างแผ่วเบา พริบตาเดียวทั้งหมดก็หายลับไปหลังพุ่มไม้ ปู่แอบมองผ่านหางตาด้วยความเป็นห่วง

วาโพรู้สึกผิดที่ต้องโกหกปู่ เขาตัดสินใจแล้วที่จะหนี ทำใจไม่ได้ที่ต้องลงไปอยู่ที่นั่นและต้องเห็นหน้าพวกเจ้าหน้าที่อุทยาน เขากับเพื่อนตกลงกันว่าจะหลบหนีไปหลังเขา ค่อยๆ ไต่ลงไปทางหุบเหว ซ่อนตัวอยู่แนวสันเขาก่อน แล้วค่อยตกลงกันว่าจะไปที่ใดต่อ อาจเป็นภูเขาอีกลูก ที่ห่างไกลสายตาของพวกเจ้าหน้าที่ เขาร่ำลาปู่ในใจเป็นครั้งสุดท้าย รีบก้มหน้าระงับน้ำตาไว้ ก้าวตามเพื่อนที่กำลังเดินไปยังทางที่ดวงตะวันค่อยๆ คล้อยลงต่ำ จนร่างเงาของทั้งหมดลับหายไปหลังเหลี่ยมเขา

อีกไม่นานขบวนอพยพก็จะถึงตีนเขา ใกล้ถึงบ้านใหม่แล้ว ชายชราเดินไปพลางเหลียวหลังมองตลอดทาง ป่านนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหลานชาย แกนึกสังหรณ์ใจขึ้นมา และยิ่งนึกถึงวันนั้นที่เขากลับมาหาหลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานจับกุม เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองด้วยน้ำเสียงแห่งความโกรธแค้น จนถึงกับสาบานว่าจะไม่กลับลงไปข้างล่างอีกเด็ดขาด แกก็เริ่มมั่นใจว่าหลานคงจะหนีไปเสียแล้ว หัวใจของแกหล่นวูบลงจากอก ตอนนี้คงเหลือแต่หลานสาวคนเดียวที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวดวงวิญญาณแก่ชราดวงนี้ให้อยู่ต่อไปได้ แกมองไปยังยอดเขา รู้สึกปวดร้าวในอก

ขบวนอพยพย้ายถิ่นลงเขาค่อยๆ เคลื่อนตัวพร้อมสัมภาระที่แบกไว้เต็มหลัง ราวกับฝูงมดย้ายอาหารกลับเข้ารัง ต่างกันอยู่ก็ตรงที่ ฝูงมดกลุ่มนี้ ไม่รู้ว่ารังของตนอยู่ที่ใด