ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 กุมภาพันธ์ 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
ขอแสดงความเสียใจและความอาลัยต่อผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บ และครอบครัว จากเหตุการณ์กราดยิงที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
โศกนาฏกรรมกลางเมืองที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือทางใจ
เป็นเรื่องใหม่ เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคมไทย
ฉะนั้น เมื่อความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ผ่านไป ก็เหมือนอย่างที่ผู้รู้หรือผู้รับผิดชอบเหตุการณ์หลายท่านออกมาบอกไว้ ว่าจะต้องมีการ “สรุปบทเรียน” จากเรื่องนี้ เพื่อหาทางป้องกันมิให้ความรุนแรงในทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก
หรือหากหลีกเลี่ยงไม่พ้น ก็จะต้องมีวิธีผ่อนปรนบรรเทาให้หนักเป็นเบา
แล้วใครบ้างที่จะต้องสรุปบทเรียนนี้ คำตอบง่ายๆ เบื้องต้นคือทุกฝ่ายและทุกคน
ที่คิดได้เร็วๆ ก็คือ
สำหรับประชาชน การปกป้องชีวิตของตนเองและคนที่รักเป็นเรื่องที่จะต้องมีการแสวงหาความรู้ หรือจะต้องมีหน่วยงานองค์กรช่วยเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นโดยด่วน
ที่เห็นแล้วก็มีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดอภิปรายในเรื่องดังกล่าว-ขอโมทนา
หวังว่าจะมีสถาบันการศึกษาหรือองค์กรอื่นๆ ร่วมกันจัดกิจกรรมเช่นนี้ขึ้นมาอีกอย่างต่อเนื่อง
จนกว่าจะเป็นสำนึกร่วม เป็นองค์ความรู้พื้นฐานต่อไปในอนาคต
ต่อมาก็องค์กรสื่อ ที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ (หรือบางท่านก็ประณาม) ในระดับเฉียดๆ กับผู้ลงมือกระทำการนั้นเลย
หลายข้อความวิจารณ์ที่มีเหตุผลในนั้นควรแก่การน้อมรับ และจะต้องนำมาปรับใช้ เพื่อมิให้เกิด (หรืออาจจะเกิด) ความเสียหายในอนาคต หากมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันเกิดขึ้น
แต่หลายประเด็นในนั้น ยังเป็นเรื่องที่มีความเห็นแยกออกเป็นสองฝ่ายหรือหลายฝ่าย สมควรที่จะต้องนำมาถกและถลกกันเสียให้กระจ่าง
ว่าอะไรควรไม่ควร และเส้นแบ่งของความควรไม่ควรนั้นอยู่ตรงไหน
สมาคมวิชาชีพต้องโดดมารับเป็นเจ้าภาพโดยเร็วโดยไว
อย่าให้สังคมตั้งข้อเคลือบแคลงสงสัยมากหรือนานกว่านี้
ไม่เป็นผลดีกับใคร
แม้แต่กับผู้มีหน้าที่เผชิญเหตุการณ์โดยตรงอย่างตำรวจ ซึ่งถือว่าทำได้ดีที่สุดแล้วในกรณีที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
ก็ต้องถอดบทเรียนให้ได้ ว่าต่อไปถ้ามีกรณีเช่นนี้อีก จะลดความสูญเสียอันมีค่าทั้งของประชาชนและเจ้าหน้าที่ผู้ระงับเหตุลงไปอีกได้อย่างไร
แล้วค่อยมาถึงโจทก์ใหญ่ของเรื่องนี้อย่างกองทัพ
ที่มีคำถามพุ่งเป้าเข้าไปใส่เหมือนศรปักอกจำนวนนับไม่ถ้วน
ตั้งแต่ต้นตอสาเหตุจริงๆ ของเรื่อง ว่าใช่ความคับแค้นส่วนตัวอันเนื่องมาจากระบบอำนาจนิยมหรือไม่
ระบบการจัดการกับบุคลากรที่ถืออาวุธ ว่าจะมิให้กลายเป็นบุคคลอันตรายในสังคมได้อีกอย่างไร
ระบบการป้องกันภัยในหน่วยงานที่หละหลวมจะถูกกวดขันแก้ไขอย่างไร
เรื่องความจำเป็นของสถานที่ตั้ง
ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างการแสดงความรับผิดชอบต่อความสูญเสีย
ไปถึงเรื่องใหญ่อย่างบทบาทของ กอ.รมน.
และการปฏิรูปกองทัพ
ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ และรวมทั้งอื่นๆ ตามที่จะมีผู้คิดได้ ต้องรีบคิดรีบทำกันตั้งแต่เหล็กยังร้อน
อย่าปล่อยให้เรื่องเย็นชืดเงียบหายไปเหมือนอีกหลายๆ ปัญหาในสังคมไทย
และที่สำคัญคือ เมื่อใช้คำว่า “สรุปบทเรียน” แล้ว ย่อมหมายถึงทุกคนทุกฝ่ายในสังคมมีสิทธิและโอกาสที่จะได้รู้ ได้เข้าถึงข้อมูล เข้าถึงปัญหาเท่าเทียมกัน
เพื่อช่วยกันติติง ตบแต่ง ขัดเกลาให้ข้อสรุปนั้นเป็นประโยชน์อย่างกว้างขวางและเป็นจริงยิ่งขึ้น
ไม่ใช่สรุปกันแล้วก็เก็บใส่แฟ้มเป็นโครงกระดูกในตู้
อย่างนั้นไม่รู้จะสรุปกันไปทำไม
ส่วนที่เว้น “รัฐบาล” ท่านไว้อย่างจงใจนั้น
หวังว่าคนส่วนใหญ่จะเข้าใจตรงกัน ว่าอะไรที่พูดไปแล้วท้วงติงแล้วไม่เกิดมรรคเกิดผลอะไรขึ้นมา
เสียเวลา เสียสมองเปล่าๆ
ปล่อยไปเสียบ้างก็ได้
บัวเหล่าสุดท้ายนี่พระพุทธเจ้ายังส่ายหัว
ประสาอะไรกับคนธรรมดาอย่างเราๆ