ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 ธันวาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ของดีมีอยู่ |
เผยแพร่ |
(ขณะเขียน)เพิ่งเดินทางกลับมาจากร่วมการเปิดงานวันยางพาราที่บึงกาฬครับ
งานเขามีประจำทุกปี ต่อเนื่องกันมาปีนี้เป็นปีที่ 7
จัดแล้วก็ใหญ่ขึ้นทุกปี
ตามขนาดเศรษฐกิจและความร่วมมือของพี่น้องในจังหวัด
เมื่อแยกออกมาจากหนองคายเป็นจังหวัดเมื่อปี 2554 นั้น
รายได้ต่อหัวของบึงกาฬอยู่อันดับที่ 18 ของภาคอีสาน
เหนือกว่าแค่กาฬสินธุ์กับหนองบัวลำภู
มาถึงปี 2559 ถ้านับรายได้รวม บึงกาฬจะอยู่ที่อันดับอันดับ 71 ของประเทศ นับเฉพาะจังหวัดในภาคอีสานด้วยกันคืออันดับ 4 จากท้ายตาราง
แต่ถ้านับจากรายได้เฉลี่ยต่อหัว บึงกาฬจะกระโดดพรวดมาอยู่ที่อันดับ 51 ของประเทศ
สูงที่สุดเป็นอันดับ 8 ในอีสาน
ถูกมุกดาหารที่เป็นอันดับ 7 เฉือนไปแค่ 80 บาท/หัว/ปี
โดยจังหวัดที่รายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงสุดของภาคอีสานได้แก่
ขอนแก่น เลย นครราชสีมา อุดรธานี หนองคาย นครพนม และมุกดาหาร
เป็นลำดับที่ดีกว่า อุบลราชธานี บุรีรัมย์ มหาสารคาม สกลนคร ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ชัยภูมิ
โดย 4 จังหวัดที่อยู่ท้ายของภาคอีสานและของประเทศคือ
อำนาจเจริญ กาฬสินธุ์ ยโสธร
และหนองบัวลำภู
เทียบกับจังหวัดเกิดใหม่ด้วยกันอย่าง อำนาจเจริญ ยโสธร หนองบัวลำภู
บึงกาฬกระโดดมาได้ไกลกว่าเขาหมด
กับจังหวัดใหญ่กว่า มีชื่อเสียงกว่า เช่น อุบลราชธานี-บุรีรัมย์ ก็ขยับขึ้นมาสูงกว่าเขา
ถามว่า บึงกาฬมีดีอะไร
นี่ไม่ใช่คำถามประเภทตั้งใจหาเรื่อง
หรือไม่ได้ตั้งใจจะยกจังหวัดไหนข่มจังหวัดไหน
เพราะไม่ว่าอยู่จังหวัดไหน พื้นที่ไหน
ทุกคนก็เป็นเพื่อนเป็นพี่น้องร่วมชาติ
แต่เพราะเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องร่วมชาติ จึงยิ่งต้องตั้งคำถามถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความรุ่งเรืองเสื่อมโทรม
ถามว่า ทำไมยกตัวอย่างบึงกาฬ
ตอบว่า ก็เพราะมาทำงานและใกล้ชิดกับจังหวัดนี้มา 6 ปีแล้ว
เป็นพยานเห็นความเปลี่ยนแปลง-โดยเฉพาะในทางดี มาโดยตลอด
ถามว่า บึงกาฬมีดีอะไร-ยางพาราหรือ
อย่างนั้นที่ไหนๆ จังหวัดไหนๆ ในประเทศนี้ที่ปลูกยางได้เขาก็ปลูกกัน ทำไมไม่กระโดดขึ้นมาได้แบบเดียวกัน
ยางอย่างเดียวสร้างปาฏิหาริย์ได้หรือ
หรือมีอะไรนอกเหนือไปจากนั้น
ให้คิดเร็วๆ ตอบเร็วๆ แบบคนนั่งดูข้างเวทีใกล้ชิดก็ต้องบอกว่าคือการไม่งอมืองอเท้า
เช่นกัน ไม่ได้หมายถึงว่าพี่น้องที่อื่นงอมืองอเท้านะครับ
แต่การไม่งอมืองอเท้าของบึงกาฬกระดืบไปไกลมากกว่าปกติอีกนิด
มีกี่จังหวัดในประเทศนี้ ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม หอบเอาสินค้าที่ผลิตได้ในท้องที่ บุกไปขายถึงแหล่งรับซื้อ
มีกี่จังหวัดที่ปลูกยาง แล้วปักธงตั้งแต่วันแรก ว่าถ้าขายวัตถุดิบอย่างเดียว ต้องตายหยังเขียด
จึงทั้งลงทุนเอง และรวมตัวไปดึงทุนจากที่อื่น-ทั้งไทยและเทศ มาลงทุนเรื่องการแปรรูป
ซึ่งช่วยพยุงราคาวัตถุดิบไม่ให้รูดลงกว่าที่ควรจะเป็น
หรืออย่างน้อยก็มีตลาดรองรับผลผลิต
ไม่ให้เสียเปล่าหรือต้องเอาไปทิ้ง
มีกี่จังหวัดที่ชาวบ้านรวมตัวกันเป็นเจ้าของโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรขั้นสุดท้าย
ผลิตสินค้าโดยใช้ชื่อจังหวัดเป็นยี่ห้อออกไปขาย
ที่ว่ามานี้ บึงกาฬทำมาหมดแล้วในรอบ 5-6 ปีที่ผ่านมา
แต่แค่ไม่งอมืองอเท้าอย่างเดียวไม่พอ
ถ้าไม่รักกัน ไม่รวมตัวกัน ไม่จับกันเป็นกลุ่มก้อน จนกระทั่งมีอำนาจต่อรองกับข้างนอก (ทั้งนอกจังหวัดและนอกประเทศ)
ไม้ซีกเกิดใหม่ไปงัดไม้ซุงไม่ได้แน่ๆ
อาจเป็นโชคดีที่เป็นจังหวัดเกิดใหม่
เกิดจากความไม่มีอะไร หรือมีน้อย
ความขัดแย้งทางผลประโยชน์เลยต่ำ
หรือมีทางที่จะคลี่คลาย-บรรเทากันได้แต่ต้นมือ
ถึงประคับประคองจนเจริญเติบโตขึ้นมาด้วยกันได้
คำถามมีอยู่ว่า ตามธรรมชาติของสังคมมนุษย์
ตอนลำบากทุกข์ยากก็เห็นรักกันดีเสมอ
พอชามข้าวใบใหญ่ขึ้น แทนที่จะกินกันได้มากคำขึ้น
กลายเป็นแย่งกันกิน
เพราะโลภเสียแล้ว เห็นโอกาส (ที่จะเอาเปรียบคนอื่น) เสียแล้ว
บึงกาฬเรียนรู้บทเรียนนี้จากที่อื่นอย่างไร
ที่อื่นเรียนรู้บทเรียนจากบึงกาฬอย่างไร
จึงจะทำให้รุ่งเรืองได้มากกว่าเสื่อมโทรม