เผยแพร่ |
---|
ไม่บ่อยนักที่จู่ๆ จะมีข้าราชการระดับสูง-ไม่ใช่คนเดียว แต่เป็นสองคนพร้อมๆ กัน ลุกขึ้นมาต่อว่าต่อขานบุคคลระดับนายกรัฐมนตรีต่อสาธารณะ
ยิ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งที่วิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่เป็นนายกรัฐมนตรีจากการรัฐประหาร ที่ปกติจะอยู่นอกเหนือการวิจารณ์ (ซึ่งหน้า)
ถึงท่านหนึ่งจะเป็นข้าราชการที่เกษียณอายุหมาดๆ อีกท่านหนึ่งเป็นข้าราชการที่มีองค์กรอิสระดูแลการแต่งตั้งโยกย้าย ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของรัฐบาลโดยตรง
ก็ยังต้องถือว่าไม่ธรรมดา
ท่านหนึ่งคือ คุณปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ สำนักคดีอาญา
ที่ออกมาปกป้อง คุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และ คุณศรีสุบรรณ จรรยา ซึ่งนายกรัฐมนตรีตั้งข้อสงสัยว่าประกอบอาชีพอะไร ถึงได้มีเวลาและประเด็นที่ร้องหรือฟ้องรัฐบาลได้ตลอด รวมทั้งหลุดปากด้วยว่าจะ “ตรวจสอบ” ทั้งสองท่านนี้บ้าง
สรุปคำจำกัดความของท่านรองอธิบดีอัยการปรเมศวร์ ก็คือ
ทั้งสองท่านนั้นกำลังทำหน้าที่ “พลเมืองดี”
ส่วนอีกท่านหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นข่าวโด่งดังมากกว่าคือ คุณสมศักดิ์ ปริสุทโธ เหมทานนท์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ที่ถูกย้ายเข้าประจำด้วยคำสั่งตาม ม.44 จนเกษียณอายุ
ท่านอดีตผู้ว่าฯ ระบุว่า ย้ายท่านเข้ามาแล้วก็ไม่ได้สอบสวน ไม่ได้ระบุความผิดอะไร
แต่เอาไปดองไว้เฉยๆ จนเกษียณ
ซึ่งทำให้เกิดความเสื่อมเสียทั้งกับตัวท่านและครอบครัว
ความคับแค้นใจนี้คงอัดอั้นจนเก็บไม่อยู่ ถึงขนาดขอยืมโคลงโบราณมาบอกว่า
“เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนั้นคืนสนอง”
ตัดเอาอารมณ์หรือถ้อยคำบาดใจออกไป
ในอีกแง่หนึ่ง การออกมาแสดงความเห็นอย่างเปิดเผยของข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งสองท่านนั้น “เป็นคุณ” กับท่านผู้มีอำนาจทั้งหลาย
ถ้าใช้เป็น
ถ้าตระหนักได้ว่านี่คือ “กระจก” ที่ส่องให้เห็นภาพสะท้อนของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา
ไม่มีคำหวาน ไม่มีการประจบประแจงแต่งหน้า
ฟังดีๆ แล้วก็จะเข้าใจได้ว่า ทำไมผู้นำรัฐบาลท่านถึงเกิดอาการเวียนหัวอยู่บ่อยๆ เมื่อนโยบายที่สั่งการลงไปได้รับการตอบสนองอย่างไม่ค่อยถึงอกถึงใจเท่าไหร่นัก
จริงอยู่ที่ว่า ข้าราชการจำนวนไม่น้อยชอบใจที่ได้รัฐบาลซึ่งมีที่มาจากข้าราชการด้วยกัน
แต่ที่ไม่ควรลืมก็คือ ในขณะที่ท่านประกาศภายหลังยึดอำนาจการปกครองใหม่ๆ
ว่าจะเข้ามากอบกู้และทำให้เกิดความเป็นธรรมในระบบราชการ
ท่านก็ประเดิมงานด้วยการย้ายข้าราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเท่าเทียมไปเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมด
ยังไม่นับว่าในช่วงปีที่ผ่านมา มีการใช้อำนาจเด็ดขาดตาม ม.44 ย้ายข้าราชการทั้งที่ระบุข้อหาและไม่ระบุข้อหาอีกหลายร้อยคน
ในจำนวนนี้ ที่ผิดจริง ที่ทุจริต ที่จะต้องจัดการก็คงมี
คำถามคือ แล้วที่ไม่ผิดแต่ติดหลังแหมา
ท่านจะให้ความเป็นธรรมกับเขาอย่างไร
หลายคนที่ถูกย้ายมานั้น มีชะตากรรมเดียวกันหรือคล้ายกับท่านอดีตผู้ว่าฯ สมศักดิ์
คือไม่ถูกสอบ หรือมีการสอบสวนเสร็จสิ้นเรียบร้อยผลออกมาว่าไม่พบความผิด
แต่คำสั่งย้ายก็ยังเป็นชนักติดหลัง ไม่ได้รับการแก้ไข
ในจำนวนนี้ที่เกษียณไปโดยไม่ได้รับการเยียวยาแบบท่านอดีตผู้ว่าฯ ก็มี ที่ยังนั่งทำตาปริบๆ กินเงินเดือนหลวงแต่ไม่มีงานทำก็มี
ทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น
ทำไมเมื่อย้ายเขาเข้ามาเป็นเรื่องเป็นราวเป็นข่าวใหญ่โต
เมื่อสอบสวนเสร็จแล้วไม่คืนความเป็นธรรมให้เขา
จะเรียกว่าเป็นการแสดงความใจกว้างใจนักเลงก็ได้ แสดงความเป็นลูกผู้ชายยอมรับว่าพลาดแล้วแก้ไขให้ถูกต้องก็ได้
หรือจะถือว่าเป็นการปฏิบัติตามระเบียบให้ถูกต้องก็ได้
ไม่ได้ “ใจ” เขา จะหวังให้เขาทำงานถวายหัว
จะให้ไปผลักไปดันสารพัดนโยบายได้อย่างไร
ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ท่านรองอธิบดีอัยการหรือท่านอดีตผู้ว่าฯ อาจจะไม่ใช่สองรายสุดท้าย
ตัวอย่างว่าด้วยเรื่องของอำนาจในอดีตทั้งใกล้และไกลสอนว่า
ยิ่งนานไปหมูยิ่งไม่กลัวน้ำร้อน