นายกฯ ทักษิณ….กลับ จะถูกจับเป็นตัวประกัน แผนดับฝันพิธาและก้าวไกล ตามใบสั่ง

มุกดา สุวรรณชาติ

นายกฯ ทักษิณ…กลับ…
จะถูกจับเป็นตัวประกัน
แผนดับฝันพิธาและก้าวไกล ตามใบสั่ง
กลับเข้าไทย…ก็อยู่ในเงื้อมมือ

 

การกลับบ้านของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่เรื่องชีวิตส่วนตัวหรือเกี่ยวพันเพียงแค่ครอบครัว แต่ยังโยงใยไปถึงการเมืองระดับประเทศ หลังจากลี้ภัยการเมืองไปนานถึง 17 ปี

แม้มีการกลับมาครั้งหนึ่ง เมื่อพรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล ก็เป็นแค่ช่วงสั้นๆ และก็ต้องออกนอกไปอีก แสดงให้เห็นว่าพลังอำนาจที่ต่อต้านมีความเข้มแข็งอย่างมาก

การแจ้งว่าจะกลับมาประเทศไทยในเดือนกรกฎาคมนี้ คือความต้องการของอดีตนายกฯ ทักษิณ แต่ความ…อยุติธรรม…ยังคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดิน แม้หลังเลือกตั้งก็ยังแสดงชัดเจน ครอบครัวอดีตนายกฯ ทักษิณจึงคิดว่า กลับเข้ามาแล้ว ไม่น่าจะได้รับความยุติธรรม ข่าวนี้เป็นเรื่องจริง

ดังนั้น…ไม่ต้องไปสนใจว่าถ้าไม่กลับไทยในเดือนกรกฎาคม เป็นการผิดคำพูด การเมืองแบบนี้ต้องทำตามสถานการณ์ ดูไม่เหมาะสมก็ไม่เดินเข้ากับดัก หรือแม้แต่บางครั้งต้องเสนอเพื่อสับขาหลอกฝ่ายตรงข้ามก็ต้องทำ เพราะฝ่ายตรงข้ามไม่เคยใช้เกมการเมืองที่บริสุทธิ์ยุติธรรม

สถานการณ์เวลานี้ประเทศยังตกอยู่ในเงื้อมมือของอำนาจมืด เพราะผู้ชนะเลือกตั้ง 2 พรรค 300 เสียง ยังต้องลุ้นว่าจะติดคุกหรือไม่ กลุ่มอำนาจเก่าจะอ้างกฎหมายที่ร่างเอง ตัดสินเอง ถ้ากลับมาในช่วงนี้จะถูกจับขัง และจะไม่มีโอกาสทำอะไรได้เหมือนเดิม ไม่มีโอกาสแสดงความคิดเห็น ไม่มีโอกาสโพสต์ ไม่มีโอกาสทวีต แสดงความคิดเห็นออกสู่สาธารณะ ไม่ได้ทั้งสิ้นเมื่ออยู่ในคุก

นั่นหมายถึงกำลังการต่อต้าน พวกเผด็จการจะหายไปอีกหนึ่งกำลังสำคัญ และอาจกลายเป็นตัวประกัน ถ้าเกิดความขัดแย้งรุนแรงในอนาคตอันใกล้นี้

 

เสียสละมากพอแล้ว
อย่ามาให้เขาจับเป็นตัวประกัน

ตระกูลชินวัตรได้ลงทุน ลงแรง ลงชีวิต ไปในการเมืองของประเทศไทยมากแล้ว เมื่อเทียบในหมู่เศรษฐีด้วยกัน ตอนนี้มีธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เดินตามมาอีกคน ถึงกระนั้นก็ยังมีบางคนเรียกร้องให้ทำมากกว่านี้อีก (บางทีต้องลองถามตัวเองว่าถ้าเป็นเราจะทำได้แค่ไหน)

ที่ผ่านมานักวิเคราะห์หลายคนก็กังวลว่าตระกูลนี้จะท้อถอยและเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งจะมีผลให้พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยอ่อนกำลังลง แต่หลังจากมีพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ความกังวลนี้ก็ลดลง

จากวันนี้ไป ตระกูลชินวัตรต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์จริง แต่ก็เหมือนกับขบวนทัพใหญ่ไม่สามารถรุกหรือถอยได้ในฉับพลันทันใด การปรับทั้งขบวนต้องใช้เวลาหลายปี แต่จังหวะก้าวต่อไปมีความสำคัญมาก

การเสนอไม่ให้แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกฯ ในช่วงนี้ก็เป็นเรื่องถูกต้อง ในเมื่อคะแนนก็ได้เพียง 141 น้อยกว่าพรรคก้าวไกล 151 ถือเป็นจังหวะการปรับขบวนที่ถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตยไม่มีอะไรน่าเกลียด เพราะบัดนี้พรรคก้าวไกลได้เข้ามาหนุนช่วยแบกรับภารกิจต่อสู้อย่างเป็นกำลังสำคัญทั้งเป็นกองหน้า ที่มีคนหนุ่มสาวที่เข้มแข็ง เพื่อไทยสามารถเป็นกำลังหนุนขนาดใหญ่ เวลานี้รถไฟขบวนนี้จึงมีหัวรถจักรถึงสองหัว

แต่ถ้าอดีตนายกฯ ทักษิณถูกจับเป็นตัวประกัน เพื่อไทยจะเดินเกมลำบาก

 

กลุ่มอำนาจเก่า แพ้เลือกตั้ง
แต่ยังอยากสืบทอดอำนาจต่อ
จึงต้องทำลายก้าวไกลให้เร็วที่สุด

กลุ่มอำนาจเก่ายังมั่นใจแผน…ใช้กฎหมาย และการเนรเทศทางอ้อม กำจัดศัตรูทางการเมือง

ไม่ว่าคะแนนเลือกตั้ง 10 ล้าน หรือ 15 ก็ยังไม่ใช่ตัวชี้ขาดว่าจะต้านพลังนอกระบบของกลุ่มอำนาจเก่าได้

ลองเปรียบเทียบดูชัดๆ ก็ได้ เลือกตั้ง 2548 ไทยรักไทยมีคะแนน 19 ล้าน ถูกโค่นปี 2549 เมื่อพลังประชาชนชนะเลือกตั้ง 2550 ทักษิณกลับเข้ามาในประเทศอยู่ได้ไม่กี่วัน ก็ต้องลี้ภัยกลับออกไปอีกครั้ง และอดีตนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ถูกโค่น แถมปี 2553 พวกเผด็จการยังปราบประชาชน ฆ่าคนเกือบร้อย ไม่มีใครทำอะไรได้ ไม่มีการฟ้องร้อง ไม่มีคดีความ

ปี 2554 เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะอีกครั้ง คราวนี้ได้ ส.ส.เกินครึ่งสภาด้วยซ้ำ อดีตนายกฯ ทักษิณก็ยังไม่กล้ากลับมา เพราะตอนนั้นใครๆ ก็รู้อยู่ว่าอำนาจเก่าจ้องเล่นงานและน่าจะมีโอกาสใช้ทั้งตุลาการภิวัฒน์และรัฐประหารซึ่งก็เป็นเรื่องจริง ในปี 2556-2557

ปี 2566 เมื่อการเลือกตั้งจบลงและมีผลว่า พรรคก้าวไกลได้ ส.ส.มากที่สุด เมื่อรวมกับพรรคเพื่อไทย ได้เกือบ 300 เสียง และมีท่าทีว่าจะขึ้นเป็นรัฐบาล ซึ่งจะเปลี่ยนการบริหารแบบรวดเร็ว และแรง เพื่อขุดคุ้ย ทำลายการโกงกิน และกอบโกยของอำนาจเก่า ผู้สูญเสียผลประโยชน์ที่ตัวเองขูดรีดเก็บกินมายาวนาน จึงต้องต่อต้านการตั้งรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตย

แน่นอน ด่านสำคัญคือ กกต. และ ส.ว. ด่านสุดท้าย ศาลรัฐธรรมนูญ

 

แผนกำจัดพิธาและก้าวไกล
วางไว้ก่อนเลือกตั้ง

แผนทำลายพรรคก้าวไกลยังคงเป็นแผนเดิมแบบที่ใช้กับพรรคอนาคตใหม่ คือใช้วิธีเข้าตีที่หัว ทำลายผู้นำพรรคก่อน ใบสั่งใบนี้คงสั่งออกมานานแล้ว ดังนั้น แผนจึงเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนเมื่อมีการลงสมัครรับเลือกตั้ง ตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าก้าวไกลจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพียงอยากสกัดไม่ให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลเข้าสภา แบบเดียวกับธนาธร

เราวิเคราะห์ได้จากการประชุมผู้ถือหุ้น itv เมื่อปลายเดือนเมษายน ก่อนเลือกตั้ง ซึ่งขณะนั้นมีคนรู้แล้วว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นอยู่ 42,000 หุ้น หลังจากเห็นผลการเลือกตั้งว่าพรรคก้าวไกลได้ 151 เสียง เป็นที่ 1 ก็เลยเร่งโค่นล้มอย่างรวดเร็ว ไม่ให้เสนอตัวเป็นนายกฯ ได้

ส่วนการจะยุบพรรคก้าวไกลได้หรือไม่ก็ค่อยหาจุดบกพร่องอื่นๆ ถ้าทำไม่ได้ก็พยายามถีบให้ไปเป็นฝ่ายค้าน เพราะตอนนี้กลุ่มทุนผูกขาดกำลังกลัวนโยบายก้าวไกลจะกระทบธุรกิจ

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือก้าวไกลกับเพื่อไทยไปร่วมกัน และได้เกือบ 300 เสียง ทำให้ไปล็อกตัวเลขการตั้งรัฐบาลแบบอื่นไม่ให้เกิด

ทางเดียวที่จะแก้ไขได้คือจะต้องแยกก้าวไกลกับเพื่อไทยออกจากกัน

การถล่มพิธาว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง ไม่ให้เป็นนายกฯ จึงเป็นแนวทางเร่งด่วนที่สุด ใบสั่งนี้ทำให้ทั้งนักร้อง และนักแต่งเพลงต้องออกแรงอย่างหนัก ทุกอย่างคล้ายจะไปด้วยดี กกต.ออกหน้าไปฟ้องมาตรา 151 เอง

การฟ้องอาญาพิธา คือการบีบบังคับด้วยคดีความ ถ้าพิธาแพ้ ต้องติดคุก ถ้าไม่อยากถูกขัง ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองแบบทักษิณ เป็นการเนรเทศทางอ้อมอีกราย

แต่ตอนนี้เกิดปัญหาว่าหลักฐานที่ผู้ร้องกล่าวหาพิธาถือหุ้น itv นำไปอ้างมาจากรายงานการประชุมของผู้ถือหุ้น itv ถูกเปิดโปงว่าเป็นหลักฐานปลอม (โปรดฟังเสียงที่หล่อมากของประธานที่ประชุม อีกครั้งจากคลิป แล้วเปรียบเทียบว่า ต่างจากรายงานการประชุมขนาดไหน)

ดังนั้น ยิ่งสืบไป ก็จะยิ่งรู้ว่าใครแก้ไขเอกสาร ใครอยู่เบื้องหลังแผนโค่นพิธา

 

เตรียมตั้งรับสถานการณ์
ความขัดแย้งรุนแรง

ยังไม่แน่ใจว่ากลุ่มอำนาจเก่าจะเดินแผนอย่างไรต่อ แต่ถ้าดันทุรังจะโค่นพิธาให้ได้โดยไม่มีหลักฐานที่เป็นจริง การประท้วงใหญ่น่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

สถานการณ์น่าจะรุนแรงขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม และถ้าช่วงนั้นทักษิณก็กลับเข้ามาแล้วถูกจับไปติดคุก มวลชนของพรรคเพื่อไทยก็คงไม่พอใจเหมือนกัน ความชุลมุนวุ่นวายจากคงจะแผ่กระจายไปทั่ว

ครอบครัว และแกนนำของพรรคเพื่อไทยเองก็รู้ว่าเวลานี้มีคนบางกลุ่มจัดการให้พรรคก้าวไกลและเพื่อไทยขัดแย้งกัน เพื่อจะได้ทำลายไปทั้งสองพรรค

สถานการณ์แบบนี้ทั้งสองพรรคต้องเตรียมตั้งรับแบบสูงสุด ทั้งด้านกฎหมาย สภา มวลชน และอำนาจนอกระบบ และต้องพร้อมสู้ทุกรูปแบบ

ถึงอย่างไรก็อย่ายอมแพ้ อย่าให้เรื่องนี้เป็นเรื่องตลกของชาวโลก…ว่า…ระบอบประชาธิปไตยของประเทศพม่า และประเทศไทย เป็นแบบที่…ผู้ชนะเลือกตั้งจะต้องติดคุก…