ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 กันยายน 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | โลกทรรศน์ |
ผู้เขียน | อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ |
เผยแพร่ |
BRICS เป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่รวมตัวโดย Brazil, Russia, India, China and South Africa กลุ่มเศรษฐกิจนี้มีขนาดใหญ่ของเศรษฐกิจโลกคิดเป็น 23% ของระบบเศรษฐกิจโลก และ 43% ของประชากรโลก
กลุ่มบริกส์จะจัดประชุมสุดยอด (Summit) ครั้งที่ 9 ช่วงต้นเดือนกันยายนนี้ โดยผู้นำของประเทศเหล่านี้จะเดินทางไปประชุมที่เมืองชายฝั่งทะเลของสาธารณรัฐประชาชนจีน คือเมืองเซียะเหมิน (Xiamen)
ด้วยเหตุว่า เกิดความขัดแย้งชายแดนจีน-อินเดียบริเวณที่ราบสูงดอกลัม (Doklam) เมื่อประมาณ 3 เดือนก่อน คือประมาณมิถุนายนที่ผ่านมา
แต่ในที่สุดทั้งจีนและอินเดียตัดสินใจถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ความขัดแย้ง
ประธานาธิบดี นาเรนทรา โมดี (Narendra Modi) จึงตัดสินใจไปประชุมบริกส์ครั้งนี้ โดยคาดหวังกันว่าผู้นำทั้งสองฝ่ายจะได้มีโอกาสพบปะเจรจากันซึ่งหน้า และอาจเกิดข้อตกลงเพื่อป้องกันปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ในอนาคตได้
เนื่องจากบริกส์มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่มาก เป็นการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่มีอย่างน้อย 2 อภิมหาอำนาจที่อยู่ขนาบข้างไทย ฝั่งตะวันออกคือสาธารณรัฐประชาชนจีน และฝั่งตะวันตกคืออินเดีย
อีกทั้งเศรษฐกิจและบทบาทระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนของรัสเซียกำลังมีความสำคัญมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เราจึงควรศึกษาดูว่า มีประเด็นอะไรที่น่าสนใจสำหรับการประชุมสุดยอดของบริกส์คราวนี้
การเติบโตของเศรษฐกิจประเทศสมาชิก
ในช่วงเวลานี้ สมาชิกของบริกส์กำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างถ้วนหน้า บราซิลกำลังเจอปัญหาการถดถอยทางเศรษฐกิจและความแตกแยกทางการเมือง ที่ผสมผสานกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น
แอฟริกาใต้เผชิญกับเศรษฐกิจถดถอยและการลาออกของนายกรัฐมนตรี
รัสเซียได้รับผลกระทบอย่างมากจากมาตรการแซงก์ชั่นของชาติตะวันตก โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา และราคาน้ำมันของโลกลดลงเรื่อยๆ
ในขณะที่จีนกำลังบริหารเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและกำลังเตรียมการโยกย้ายครั้งใหญ่ของผู้นำระดับสูง
ความจริงแล้ว เป้าหมายหลักของการรวมกลุ่มของบริกส์มีมากกว่าการบรูณาการเศรษฐกิจของชาติสมาชิก แต่ทางกลุ่มต้องการก่อตั้งสถาบันต่างๆ ที่ทำหน้าที่ดูแลระบบการค้าและเศรษฐกิจโลกอีกด้วย
การประชุมสุดยอดของบริกส์ครั้งนี้ อาจเป็นกรณีตัวอย่างให้เห็นข้อตกลงด้านความร่วมมือทางการเงินและโครงการการลงทุนทางเศรษฐกิจต่างๆ อาจรวมถึงข้อเสนอต่างๆ เพื่อคานกับอิทธิพลของสถาบันระหว่างประเทศที่ครอบงำโดยตะวันตก เช่น ธนาคารโลก (World Bank-WB)
มีการวิเคราะห์กันว่า จีนและบริกส์อาจได้โอกาสในการแสวงหาบทบาทที่มากขึ้นในฐานะผู้นำโลก
กลุ่มบริกส์อาจเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่เกิดจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกาที่กำลังผลักดันนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐแบบโดดเดี่ยว (Isolationism) การเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นของผู้นำชาติบริกส์ อาจผลักดันให้จีนมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะจีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าชาติสมาชิกอื่นๆ เช่น รัสเซียและแอฟริกาใต้
รูปธรรมของการเคลื่อนไหวที่สำคัญขณะนี้คือ กลุ่มชาติบริกส์จะผลักดันโครงการและเป้าหมายให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน (sustainability) อย่างไร
บริกส์ได้ใช้ธนาคารที่ตั้งขึ้นใหม่อนุมัติเงินมูลค่า 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อปล่อยกู้โครงการพัฒนาแก่จีน อินเดียและรัสเซียก่อนการประชุมสุดยอดที่จะเกิดขึ้นแล้ว
และยังคาดว่าธนาคารของกลุ่มบริกส์จะอนุมัติเงินกู้อีก 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) และโครงการพัฒนาอื่นๆ อีก
บริกส์กับไทย
ยังมีผู้นำอีก 5 ประเทศนอกเหนือจากสมาชิกของบริกส์เดิมเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ด้วยได้แก่ ทาจิกิสถาน (Tajikistan) อียิปต์ เม็กซิโก กินี (Guinea) และไทยเข้าร่วมประชุมด้วย
โดยก่อนหน้านี้ประมาณ 5 เดือน ทางการจีนได้เสนอ BRICS Plus เพื่อขยายสมาชิกของกลุ่มเพิ่ม
รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน หวัง ยี่ (Wang Yi) กล่าวว่า จีนต้องการเจรจากว้างขึ้น รวมทั้งเจรจากับกลุ่ม non BRICS เพื่อเป้าหมายร่วมกันในตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา
นั่นหมายความว่า บริกส์มีความสำคัญ ความเป็นตัวแทนของกลุ่มบริกส์ที่ทางการไทยให้ความสำคัญและคิดมานานแล้ว โดยเป้าหมายของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้ตกจากกระแสของบริกส์เลย การเดินทางเข้าร่วมประชุมบริกส์ครั้งนี้จากข่าวของสื่อมวลชนคือ นายกรัฐมนตรีของไทยจะลงนามเซ็นสัญญารถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เอาฤกษ์เอาชัยหลังจากมีการประชุมกันมาอย่างยาวนานมากกว่า 20 ครั้งแล้ว
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติการก่อสร้างโครงการรถไฟสายกรุงเทพฯ-โคราช ไปเมื่อสัปดาห์สุดท้ายเดือนสิงหาคมนี่เอง
และคิดว่า นี่เป็นรูปธรรมหนึ่งที่เป็นทางการที่ทางรัฐบาลและเอกชนจีนรอคอยมานานมากแล้ว
หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีของไทยจะไปร่วมประชุมที่กัมพูชา
ไม่ทราบว่าการเดินทางไปประชุมบริกส์ที่เมืองเซียะเหมินหรือที่กัมพูชา อันไหนจะสำคัญกว่ากัน
แต่รัฐบาลของท่านประยุทธ์ก็ใช้นโยบายประชานิยมทุกรูปแบบอย่างที่รัฐบาลก่อนหน้านั้นใช้
ประชานิยมในประเทศไม่พอ ชาวโคราชนิยมไม่พอ โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-โคราช คือรูปธรรมที่ชี้ให้เห็น “จีนนิยม” ไปพร้อมกันด้วย บางทีเราเรียกว่ารถไฟไทย-จีน อาจจะผิด ควรเรียกว่ารถไฟจีน-ไทย เสียมากกว่า
รถไฟจีน-ไทยเริ่มวิ่งที่เมืองเซียะเหมิน