ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 กันยายน 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
ยุทธศาสตร์ใหญ่ของจีนระดับโลกที่รู้จักกันอย่าง “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative – BRI) ที่จีนประกาศเป็นมหาอำนาจใหญ่ พร้อมชวนหลายประเทศเข้าร่วมแผนการเพื่อสร้างความเจริญร่วมกันภายใต้สัมพันธไมตรีอันดีกับพญามังกร
หลายชาติที่ต่างต้องการสร้างการเติบโตและจีนเห็นโอกาส ก็ได้เข้าไปพร้อมข้อเสนอช่วยเหลือให้กับประเทศเหล่านี้พร้อมด้วยข้อแลกเปลี่ยนที่เปิดทางให้จีนสามารถทำธุรกิจในประเทศนั้นๆ ได้อย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตาม แผนยุทธศาสตร์นี้กลับทำให้ประเทศพันธมิตรต้องพึ่งพาจีนเป็นหลัก และมีราคาต้องจ่ายตามข้อตกลงโดยเฉพาะโครงการใหญ่ที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ทำให้จีนเข้าควบคุมได้ เศรษฐกิจท้องถิ่นและประชาชนได้รับผลกระทบจากการคืบคลานของทุนจีน
จีนทำให้หลายประเทศที่มีข้อตกลงในนาม “การช่วยเหลือตามความร่วมมือทวิภาคี” ตกอยู่ในสภาวะกึ่งอาณานิคมและเสี่ยงสูญเสียอำนาจอธิปไตยขึ้นได้
จีนเข้าไปสร้างอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองตามภูมิภาคต่างๆ อย่างหลายประเทศในทวีปแอฟริกา พบแรงงานและนักธุรกิจชาวจีนเข้าไปอยู่เป็นจำนวนมาก
แซมเบีย คือหนึ่งในหลายประเทศที่เผชิญกับสิ่งเรียกว่า “การทูตกับดักหนี้” คือการปล่อยเงินกู้ให้กับประเทศยากจน กับโครงการสำคัญเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน
จนในที่สุด ประเทศเหล่านี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ และถูกบีบให้โอนรัฐวิสาหกิจให้กับจีน
มีบางประเทศเลือกจำยอม แต่แซมเบียกลับเกิดการต่อต้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะผู้คนเริ่มสงสัยว่านโยบายเชิงบังคับของรัฐบาลจีนกำลังนำพาประเทศตกเป็นอาณานิคม
โดยความกังวลล่าสุดคือ มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จีนจะเข้าควบคุมกิจการสนามบินหลักของแซมเบีย บริษัทผลิตไฟฟ้า สถานีโทรทัศน์แห่งชาติและโครงการสร้างถนนหลายเส้นที่จะไม่สามารถชำระหนี้กู้ยืมเงินจากจีน 8.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐได้
ไม่เพียงเท่านี้ ความเสี่ยงไม่ได้จำกัดอยู่ที่ปัจจัยทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจีนกำลังถูกกล่าวหาว่าได้เข้าควบคุมทรัพยากรอย่างไม่จำกัด และการแทรกซึมผ่านชาวจีนในแซมเบีย
และพยายามว่าจ้างพลเมืองจีนเข้าไปทำงานในหน่วยความมั่นคงของแซมเบีย
แต่ที่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดคือ การควบคุมข้อมูลและการแพร่ภาพอย่างเต็มที่เพื่อขับเคลื่อนการโฆษณาชวนเชื่อ ภายใต้ข้ออ้างที่จะทำให้โครงสร้างพื้นฐานการออกอากาศเป็นรูปแบบดิจิตอล โดยบริษัท TopStar Communications Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Start Times ของจีน มีสัดส่วนถือหุ้น 60 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ ZNBC บริษัทกระจายเสียงโทรทัศน์ของรัฐบาลแซมเบียถือครองเพียงแค่ 40%
ด้านนักวิเคราะห์กล่าวว่า “ผลลัพธ์ในระยะยาวอาจส่งผลให้จีนเป็นเจ้าของสูงสุดทางเศรษฐกิจและอาจนำไปสู่การสูญเสียอธิปไตยของชาติครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ได้รับเอกราช”
ก่อนหน้านี้ ไฟแนลเชียลไทม์ส ได้ลงคำสัมภาษณ์ของคริสเตียน ลาร์การ์ต ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟในเวลานั้น ที่ออกมาเตือนเมื่อปี 2561 ว่าข้อตกลงความช่วยเหลือของจีนนำไปสู่ปัญหาหนี้เพิ่มขึ้น และบีบให้ต้องจำกัดการใช้จ่ายอื่นๆ จนกระทบทั้งระบบ
หรือสถาบันบรู๊กคิงส์ ประเมินว่าเงินกู้จากจีนที่คิดเป็น 65.8 เปอร์เซ็นต์ของหนี้ภายนอกของแซมเบีย จะสร้างความกังวลต่ออำนาจอธิปไตยของชาติและความเป็นเจ้าของของจีนในองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานของแซมเบีย โดยรายงานระบุว่าหากแซมเบียไม่สามารถชำระหนี้กู้ยืมในโครงการสร้างสนามบิน Kenneth Kaunda ได้ทันเวลา
จีนก็มีแผนจะเข้ายึดกิจการดังกล่าว
ชิชิมบ้า คัมบลิรี อดีตรัฐมนตรีกระทรวงสารสนเทศและการกระจายเสียงของแซมเบีย ได้ออกมาแสดงความกังวลและวิพากษ์วิจารณ์ การกู้ยืมเงินจีนของรัฐบาล โดยที่กู้ยืมจากจีนแต่มักไม่เข้าบัญชีแซมเบีย แซมเบียก็เลือกผู้รับเหมาจากจีน ผู้รับเหมาเหล่านี้ได้รับเงินในประเทศจีน
ยิ่งไปกว่านั้น ชาวแซมเบียรู้สึกไม่พอใจกับคุณภาพที่ไม่ดีของโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างโดยบริษัทจีน โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ของถนน Lusaka-Chirundu ซึ่งสร้างโดย China Henan ในปี 2011 ก็พังเสียหายจากฝนตกหนัก
ในทำนองเดียวกันพลเมืองของแซมเบียระบายความโกรธหลังจากสนามกีฬา 2 แห่งที่จีนสร้างขึ้นในกรุงลูซากาและในนครนโดลา โดยชาวแซมเบียเรียกว่าเป็นโครงการ “ช้างเผือก”
เพราะไม่เพียงไร้ประโยชน์ แต่ยังมีราคาแพงด้วย
สํานักข่าวของเยอรมนี ได้สัมภาษณ์เจมส์ ลุคคูคู แกนนำพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าซึ่งออกมานำการชุมนุมประท้วง โดยระบุว่า แซมเบียไม่ต้องการโครงการอันฉาบฉวยเช่นนี้ พร้อมกับปลุกแคมเปญต่อต้านจีนภายใต้แฮชแท็ก #SayNoToChina จนมีผู้เข้าร่วมการชุมนุมหลายพันคน โดยส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่ม-สาวที่ไม่พอใจเพราะถูกทิ้งจากวาระการพัฒนาของประธานาธิบดีแซมเบีย
ทั้งนี้ ลุคคูคูระบุว่า นอกจากโครงการของจีนทำให้ประเทศเป็นหนี้แล้ว ยังมีส่วนทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นระดับสูงในแซมเบียอีกด้วย เพราะพวกเขาเชื่อว่า ประธานาธิบดีแซมเบียกำลังเอาเงินจีนเข้ากระเป๋าตัวเอง