“ปิยบุตร” แจงปม “สนธิญา” ยื่น กกต.ล้ม “พรรคอนาคตใหม่” มีแนวคิดขัดกม. วอนเลิกมองคนเห็นต่างเป็นศัตรู

วันที่ 27 มีนาคม 2561 นายปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชารด้านนิติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ร่วมกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานบริหารซัมมิท กรุ๊ป ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีที่มีรายงานข่าวว่า ประธานสมาพันธ์ประชาชนตรวจสอบรัฐไทย หรือ สปท.จะยื่นร้องกับคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องต่อประธานกกต. ขอให้ทบทวนการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ เพราะนายปิยบุตรมีแนวคิดเกี่ยวกับมาตรา 112 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง ที่นี่ ) โดยนายปิยบุตรระบุว่า ไม่เพียงตนที่มีแนวคิดเช่นนี้ แต่ยังมีหลายคนทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยมและก้าวหน้า แสดงความเห็นให้แก้ไข รวมถึงหน่วยงานด้านยุติธรรมยังมีการปรับตัวต่อเรื่องนี้ด้วย

นายปิยบุตรได้โพสต์ข้อความเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาชี้แจงต่อเรื่องที่เกิดขึ้นว่า จากกรณีที่นายสนธิญา สวัสดี ยื่นเรื่องให้ประธานกกต.หรือนายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณาว่าการขอเตรียมการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่นั้นขัดต่อกฎหมายหรือไม่ โดยกล่าวอ้างถึงผมและกรณีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ผมขอเรียนชี้แจง ดังนี้

1. ในการขอเตรียมการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 ผู้สื่อข่าวได้ถามผมเกี่ยวกับกรณีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และผมได้ตอบว่า ผมได้ร่วมกับเพื่อนนักวิชาการและประชาชนในชื่อ “คณะรณรงค์แก้ไข ม. 112” ผลักดันให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เมื่อต้นปี 2555 โดยผมเห็นว่า การแก้ไขในกรณีนี้จะทำให้บุคคลไม่อาจนำมาตรา 112 มาใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งกัน ป้องกันมิให้บุคคลใดแอบอ้างนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ทำลายล้างกัน แก้ไขอัตราโทษให้ได้สัดส่วนกับการกระทำความผิด ทั้งนี้ เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่อย่างมั่นคง อย่างทรงพระเกียรติยศ ทันสมัย และสอดคล้องกับประชาธิปไตย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีเพียงคณะรณรงค์แก้ไข ม.112 เท่านั้นที่เสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายนี้ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ซึ่งมี ศาสตราจารย์คณิต ณ นคร เป็นประธาน ก็ได้เสนอให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นอกจากนี้ยังมีปัญญาชนสาธารณะ บุคคลผู้มีชื่อเสียงทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายก้าวหน้า ได้แสดงความเห็นให้มีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวอีกหลายครั้งด้วย ในปัจจุบัน เราเห็นการปรับตัวของหน่วยงานของรัฐต่าง ๆเกี่ยวกับการนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาใช้ เช่น การกำหนดให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาสั่งฟ้องคดีความผิดตามมาตรา 112 การปล่อยตัวชั่วคราวผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยในความผิดตามมาตรา 112 การยกฟ้องคดีความผิดตามมาตรา 112 ในบางกรณี ฯลฯ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่มีแต่ผมและคณะรณรงค์แก้ไข ม.112 เท่านั้น แม้แต่หน่วยงานของรัฐเองก็ยังเห็นว่าจำเป็นต้องแก้ไข มาตรา 112 หรือปรับปรุงการบังคับใช้มาตรา 112 ให้ยุติธรรมมากขึ้น

2. การร่วมรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของผม เป็นการกระทำและความเห็นส่วนตนของผมซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้า ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่แต่อย่างใด ความเห็นส่วนตนของผมจึงไม่ใช่นโยบายของพรรค และไม่ใช่คำประกาศอุดมการณ์ของพรรค ในอนาคต เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งรับจดทะเบียนให้พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคการเมืองแล้ว พรรคอนาคตใหม่ก็ไม่จำเป็นต้องผูกพันกับความคิดของผม พรรคการเมืองมีสถานะเป็นนิติบุคคลแยกออกต่างหากจากสมาชิกพรรค ความคิดเห็นส่วนตนของผม จึงต้องแยกออกจากความคิด วัตถุประสงค์ และนโยบายของพรรค การนำความเห็นส่วนตนของผมไปตีขลุมเอาเองว่าเป็นความคิดของพรรคอนาคตใหม่ ย่อมไม่เป็นธรรมต่อพรรคอนาคตใหม่ สมาชิกพรรค และประชาชนผู้สนับสนุนพรรค

ณ เวลานี้ การดำเนินการเพื่อจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่ ยังอยู่ในขั้นตอนยื่นคำขอแจ้งการเตรียมการจัดตั้งพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 18 เท่านั้น ยังไม่มีพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นตามระบบกฎหมาย เมื่อพรรคอนาคตใหม่ยังไม่เกิดขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีการประชุมพรรค และจัดทำข้อบังคับพรรค กำหนดคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรค และนโยบายของพรรคได้ ดังนั้นที่นายสนธิญา กล่าวอ้างว่า พรรคอนาคตใหม่มีข้อบังคับที่อาจก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างชนในชาติ ต้องห้ามตามมาตรา 14 นั้น จึงเป็นกรณีที่นายสนธิญา จินตนาการไปเอง

ตามขั้นตอนแล้ว หลังจาก คสช.อนุญาตให้ทำกิจกรรมการเมืองได้ ผู้ร่วมกันจัดตั้งพรรคการเมืองก็จะประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค จัดทำข้อบังคับพรรค คำประกาศอุดมการณ์ นโยบาย และดำเนินการในเรื่องอื่นๆตามที่กฎหมายกำหนด จากนั้นก็จะดำเนินการยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ซึ่งในขั้นตอนนี้ นายทะเบียนพรรคการเมืองก็จะต้องตรวจสอบอยู่แล้วว่าข้อบังคับพรรคอนาคตใหม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 14 หรือไม่ หากมี นายทะเบียนพรรคการเมืองก็จะสั่งให้แก้ไขข้อบังคับพรรคนั้น

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สาธารณชนเข้าใจตรงกัน และเพื่อป้องกันมิให้กลุ่มบุคคลผู้ไม่ต้องการให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยได้ฉวยโอกาสนำเรื่องเหล่านี้มาปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่อเพื่อขัดขวางการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ได้ ผมขอยืนยันว่า ผมจะไม่นำเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มาเกี่ยวข้องกับพรรค และไม่นำไปผลักดันในพรรค

3. ผมและผู้ร่วมยื่นคำขอแจ้งการเตรียมการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 เห็นร่วมกันถึงความจำเป็นในการก่อตั้งพรรคการเมืองแบบใหม่ เพื่อมุ่งเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองไทยเสียใหม่ให้การเมืองไทยดีขึ้น การดำเนินการของพวกเราทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง อยากให้สังคมไทยออกจากวิกฤติความขัดแย้งและวงจรรัฐประหาร นำการเมืองแบบประชาธิปไตยที่สร้างสรรค์กลับมา เพื่อให้ประเทศไทยก้าวต่อไปข้างหน้า

เราอยู่ในวังวนของการเมืองแบบไม่สร้างสรรค์ มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู เสียเวลาและพละกำลังไปกับการทำลายล้างกันทางการเมือง ประเทศไทยสูญเสียเวลาและโอกาสไปมากพอแล้วกับเรื่องเหล่านี้ เราควรช่วยกันยุติการเมืองแบบไม่สร้างสรรค์แบบนี้

นายปิยบุตร ระบุว่า ผมขอความกรุณาจากบุคคลที่มีความคิดอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง ได้ใช้สติปัญญาตรึกตรองอย่างมีเหตุมีผล เปิดใจรับฟังในสิ่งที่พวกเราทำ หากยังมีข้อขัดข้องหรือไม่เห็นด้วยในเรื่องใด ผมพร้อมที่จะอภิปรายถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ในทุกเรื่อง ในทุกเวที ผมขอความกรุณาจากคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เปิดโอกาสให้พวกเราได้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ เพื่อนำพาประชาธิปไตยที่สร้างสรรค์และเข้มแข็งกลับมา ให้พวกเราได้ร่วมกันกับประชาชนในการกำหนดอนาคตใหม่ ผมขอเรียนไปยังบุคคลที่ไม่อยากเห็นการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ ขอเถิดครับ ขออย่าขัดขวางการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่เลย ต่อให้วันนี้ พวกท่านขัดขวางไม่ให้พรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นได้ แต่ก็จะมีประชาชนอีกจำนวนมากที่อยากให้มีพรรคการเมืองแบบพรรคอนาคตใหม่เกิดขึ้นอยู่ดี ในวันหน้า พวกเขาก็จะหาทางก่อตั้งมันขึ้นมาจนได้

“โปรดอย่าขัดขวางพรรคอนาคตใหม่เลยครับ การขัดขวางการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ มิใช่ขัดขวางผมและเพื่อนเท่านั้น แต่มันคือการทำลายความหวังของประชาชนผู้ใฝ่ฝันถึงอนาคตใหม่ด้วย” นายปิยบุตรระบุตอนท้าย

ทั้งนี้ กระแสโจมตีต่อพรรคอนาคตใหม่ และตัวผู้ร่วมจดตั้งพรรคอย่างนายธนาธรและปิยบุตร เกิดขึ้นตั้งแต่บทสัมภาษณ์พิเศษของนายธนาธรกับนายปิยุบตรโดยบีบีซีไทย เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้บนโลกโซเชียล มีผู้ใช้เฟซบุ๊กที่มีแนวคิดขวาจัด ออกมาโพสต์โจมตีต่อตัวนายธนาธรและนายปิยบุตร ในลักษณะปฏิบัติข้อมูลข่าวสาร หรือ “ไอโอ” ซึ่งเป็นปฏิบัติการทางทหารที่ใช้ในการทำสงครามข้อมูลข่าวสาร ออกมาโพสต์ข้อความและภาพที่สร้างความเกลียดชัง กล่าวหาว่านายธนาธรและนายปิยบุตรมีความคิดสุดโต่งที่จะบั่นทอนรากฐานความเชื่ออันดีงามของประเทศอย่างต่อเนื่องจนถึงในขณะนี้ และการโจมตีกล่าวหาต่อนายธนาธรและนายปิยบุตรยังลุกลามถึงขั้นโพสต์ข้อความขู่ฆ่าอีกด้วย

https://www.facebook.com/piyabutr2475/posts/10155338121505848?pnref=story