‘โรม’ ทิ้งบอมบ์จี้ปฏิรูปตำรวจ-ทหาร ลั่นอย่าปล่อยเกิดเหตุจากองค์กรมีสีซ้ำซาก

‘โรม’ ทิ้งบอมบ์เสนอปฏิรูปตำรวจ-ทหาร อย่าปล่อยเกิดเหตุอาชญากรรมที่มีต้นตอมาจากองค์กรมีสีซ้ำซาก

 

วันที่ 12 ตุลาคม 2565 รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวสืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดใจของคนไทยทั้งประเทศ

อยากเรียนต่อพี่น้องสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนว่า เหตุการณ์ที่มีการใช้อาวุธในลักษระแบบนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรก 8 ก.พ. 63 จ่าสิบเอกนายหนึ่งเกิดเหตุที่นครราชสีมา มีผู้เสียชีวิต 30 คน ต่อมา 14 ก.ย. 65 เกิดเหตุที่กองทัพบก กรุงเทพฯ มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บสาหัส 1 คน และล่าสุด 6 ต.ค. 65 ก็มีเหตุเกิดอีกครั้งหนึ่ง และล่าสุด 6 ต.ค. 65 ก็เกิดเหตุครั้งล่าสุดทำให้มีผู้เสียชีวิต 38 คน เป็นเด็กเล็ก 22 คน เหตุการณ์ทั้งหมดผู้กระทำล้วนแต่เป็นทหาร-ตำรวจชั้นผู้น้อย

รังสิมันต์กล่าวว่า ตนทราบดีว่าเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้เราไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่สิ่งที่สังคมเราอยากที่จะเห็น และจริงจังคือการป้องกันให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำและลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อไป ย้อนกลับไปนับแต่การกราดยิงที่โคราช เราแทบไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงขององค์กรตำรวจทหารเลยแม้แต่น้อย ตลอดที่เวลาที่ตนทำงานศึกษาติดตามเรื่องนี้พบว่าภายในองค์กรเหล่านี้ยังมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ดีของเจ้าหน้าที่ของรัฐและเต็มไปด้วยการการทุจริตคอรัปชั่นซึ่งหลายครั้งส่งผลเสียต่อเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย บางครั้งหนักถึงขนาดที่อาหารการกินของชั้นผู้น้อยก็มีการแบ่งแยก

“ปัญหาสุดคลาสิคที่อยู่กับสังคมมานานคือ การใช้เส้นสายฝากคนของตัวเองเข้าทำงาน ระบบตั๋วต่างๆ รวมถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด บ่อนการพนัน สถานบันเทิงผิดกฎหมาย ไปจนถึงการค้ามนุษย์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ล้วนต้องอาศัยการสมคบของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งสิ้น คนทั้งสังคมรู้ว่านี่คือสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นจริงขององค์กรตำรวจและทหาร” รังสิมันต์กล่าว

รังสิมันต์ กล่าวต่อว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นซ้ำๆ วัฒนธรรมองค์กรที่ใครๆ ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราเห็นแต่ความเงียบและการปล่อยเกียร์ว่างของรัฐบาล ผบ.ทบ. และ ผบ.ตร. ทุกครั้งที่ถามหาการแก้ปัญหามักได้คำตอบที่เป็นการโยนความผิดของผู้ก่อเหตุโดยไม่โทษองค์กร ไม่โทษสภาพแวดล้อมเลย

แน่นอนว่าผู้ก่อเหตุมีความผิดที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่หากไม่มีการปฏิรูปองค์กรอย่างจริงจัง เหตุการณ์แบบนี้จะกลายเป็นระเบิดเวลาที่อาจจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ตนจึงอยากเสนอ 4 ข้อ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ลดโอกาสที่จะเกิดขึ้นซ้ำ

หนึ่ง ต้องการอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เกิดการซื้อขายตำแหน่ง ป้องกันระบบตั๋ว ตั๋วช้าง ซึ่งเป็นสิ่งชักนำสำคัญที่ทำให้เกิดคนมีสีเข้าไปเกี่ยวกับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ต่อมา ต้องดูแลเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยอย่างสม่ำเสมอ มีผู้เชี่ยวชาญปรึกษาในยามที่พวกเขามีปัญหา ขณะเดียวกันองค์กรเหล่านี้จะต้องมีกระบวนการในการช่วยเหลืออย่างเป็นธรรม และโปร่งใส หมดยุค “ช่วยกัน” ได้แล้ว

นอกจากนี้ รัฐบาลต้องไม่เป็นการผลักภาระต่อผู้ปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อปืนเอง การซื้อน้ำหมึกเอง หรือกระดาษเอง สิ่งเหล่านี้จะต้องไม่เกิดขึ้น ตลอดจนการเลิกภารกิจที่ไม่มีความจำเป็น เช่น ทหารรับใช้ ตำรวจรับใช้

สุดท้าย กรณีที่พวกเขาต้องออกจากองค์กร ต้องติดตามว่าคนเหล่านี้สามารถอยู่ในสังคมอย่างปรกติสุขได้หรือไม่ ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องรักษาหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญภาครัฐมีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามามีบทบาทต่อเรื่องนี้ด้วย

“หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสเห็นสำนึกของผู้บังคับบัญชาเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปองค์กรทั้งตำรวจและทหารเพื่อให้สังคมของเราได้อยู่อย่างปลอดภัยต่อไป” รังสิมันต์ กล่าวทิ้งท้าย