คลังคงจีดีพี ปี’65 ที่ 3.5% เชื่อท่องเที่ยว-ส่งออก-บริโภคในประเทศ ยังดีต่อเนื่อง

คลัง คง “จีดีพี” ปี’65 ที่ 3.5% เชื่อท่องเที่ยว-ส่งออก-การบริโภคในประเทศ ยังดีขึ้นต่อเนื่อง

 

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังยังคงประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะขยายตัวที่ 3.5% (ช่วงคาดการณ์ที่ 3.0-4.0%) ซึ่งเป็นผลมาจากเครื่องยนต์เศรษฐกิจ 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ การท่องเที่ยว คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยกว่า 8 ล้านคน ซึ่งเป็นการปรับประมาณการเพิ่มขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะเข้ามาเพียง 6.7 ล้านคน เนื่องจากขณะนี้มีการผ่อนปรนมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น

“ตั้งแต่เดือนม.ค.-มิ.ย.65 นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยกว่า 2.08 ล้านคน และหลังจากมีการยกเลิกระบบ ไทยแลนด์พาส ตั้งแต่วันที่ 1-16 ก.ค.65 มีนักท่องเที่ยวเข้ามากว่า 5.5 แสนคน แม้ตัวเลขจะยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด แต่เมื่อเทียบกับทั้งปี 2564 ก็ยังถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก เพราะมีทักท่องเที่ยวเข้ามาเพียง 4 แสนคน และเราก็คาดว่าในปีนี้รายได้จากการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวจะสูงถึง 0.43 ล้านล้านบาท และค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 53,000 บาทต่อคน” นายพรชัย กล่าว

นายพรชัย กล่าวว่า ทั้งนี้ เมื่อการท่องเที่ยวกลับมาก็จะเป็นส่วนที่ไปสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศด้วย โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 4.8% เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีการจับจ่ายใช้สอย ก็จะส่งต่อมาถึงรายได้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การใช้จ่ายขยายตัวต่อเนื่อง และอีกเครื่องยนต์สำคัญ คือ การส่งออก คาดว่าจะขยายตัวที่ 7.7%

นายพรชัย กล่าวว่า อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย ได้แก่ ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งส่งผ่านไปยังต้นทุนของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ

นายพรชัย กล่าวต่อว่า รวมทั้ง ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ที่มีแนวโน้มเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลังอัตราเงินเฟ้อเร่งสูงขึ้นต่อเนื่องและภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นสำหรับประเทศไทยนั้น จะต้องรอติดตามการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 10 สิงหาคมนี้

นายพรชัย กล่าวว่า และ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด ทั้งสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต และ 4) เศรษฐกิจคู่ค้าชะลอลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศหลักและประเทศจีน ประกอบกับหากสถานการณ์การแพร่ระบาด โควิด-19 ในประเทศจีนยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้ก็จะส่งผลกระทบห่วงโซ่อุปทานการผลิต และส่งผลเชื่อมโยงไปยังภาคการผลิตและการค้าทั่วโลก

นายพรชัย กล่าวว่า ขณะที่เสถียรภาพภายในประเทศนั้น คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 6.5% ตามราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตภายในประเทศที่สูงขึ้นและกระจายตัวในหมวดสินค้าที่หลากหลายขึ้น โดยประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะค่อยๆ ปรับตัวลดลง หากราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น

“ทั้งนี้ กระทรวงการคลังมีการติดตามและประเมินผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะดำเนินมาตรการทางการคลังและการเงินที่เหมาะสมเพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่องและทั่วถึงในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ รวมทั้งรัฐบาลก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารวิกฤตเศรษฐกิจ โดยมีการแบ่งทีมย่อยในส่วนของอนุกรรมการ ซึ่งก็ได้มีการหารือถึงภาพรวมเศรษฐกิจร่วมกันแล้ว และขณะนี้อนุกรรมการก็มอบหมายให้แต่ละหน่วยงานกลับไปพิจารณาข้อมูลรายละเอียดเพื่อกลับมาหารือร่วมกันอีกครั้ง”นายพรชัย กล่าว