‘เศรษฐา’ เกาะติดศึกซักฟอก ขอ ‘นายกฯ’ เปิดใจรับฟัง นำผลอภิปราย ปรับปรุงการบริหารประเทศ

‘เศรษฐา’ เกาะติดศึกซักฟอก ขอ ‘นายกฯ’ เปิดใจรับฟัง นำผลอภิปราย ปรับปรุงการบริหารประเทศ

 

วันที่ 19 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยที่เอกชนและประชาชนวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ยากที่จะเดาผลโหวต แต่ก็อยากให้ท่านนายกฯเปิดใจรับฟังและนำผลการอภิปรายไปใช้ปรับแก้การบริหารประเทศในช่วง 7-8 เดือนที่เหลือของรัฐบาล เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน

โดยเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม “เศรษฐา” ให้สัมภาษณ์ “มติชน” ว่าผมเชื่อว่าเอกชนจะให้ความสนใจกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้อย่างแน่นอน เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ภาคเอกชนจะมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องสังคม เรื่องการเมือง เพราะทิศทางรัฐบาล ความมั่นคงของรัฐบาลก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมด้วย และเรื่องของการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย มีการตรวจสอบ มีการวิพากษ์วิจารณ์ที่สร้างสรรค์ในเวทีที่ถูกต้องที่รัฐสภา ผมเชื่อว่าจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่รัฐธรรมนูญถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้เราทุกคนได้มีตัวแทนภาคเอกชน ภาคประชาชน ไปวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลอย่างถูกต้อง

นายเศรษฐากล่าวว่า ส่วนในแง่ของผลที่จะออกมาอย่างไร ผมว่าคาดเดาลำบาก เพราะจริงๆ แล้ว โดยส่วนตัวผมสนับสนุนให้มีการพูดคุย มีการวิพากษ์วิจารณ์กัน มีการถกเถียงกันอย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้นเรื่องผลการโหวตขึ้นอยู่กับเสียงของ ส.ส.ที่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะฉะนั้นผมไม่ได้ติดตามว่าจะมีงูเห่า หรือมีการแปรพักตร์อย่างไรเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม ดูจากเสียงของรัฐบาลแล้วก็น่าจะยังเป็นต่ออยู่

“เหนือสิ่งอื่นใดจะโหวตผ่านหรือไม่ผ่าน ถ้าดูตามเสียงก็น่าจะโหวตผ่าน แต่ว่าผู้นำรัฐบาล ท่านนายกรัฐมนตรีเองจะต้องนำผลที่อภิปรายออกมาแล้ว ถ้าฝ่ายค้านมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ นำไปแก้ไขการบริหารจัดการประเทศในทิศทางที่ถูกต้อง ในช่วงอายุรัฐบาลที่ยังเหลืออยู่อีก 7-8 เดือนนับจากนี้” นายเศรษฐากล่าว

นายเศรษฐากล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีจะปรับ หรือไม่ปรับ จะต้องดูผลของการอภิปรายว่ามีเหตุมีผลเหมาะสมมากน้อยอย่างไรกับรัฐมนตรีท่านใด ผมว่าท่านนายกรัฐมนตรีก็คำนึงถึงอยู่แล้ว แต่ก็อยากขอฝากไว้ว่าถึงแม้รัฐบาลจะชนะการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต้องดูข้อมูลด้วยว่ามีส่วนไหนที่ต้องนำไปปรับปรุง แก้ไข ให้เหมาะสมต่อไป ในช่วง 7-8 เดือนที่เหลือ เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเปราะบาง ไม่ว่าเงินเฟ้อ ภาวะเศรษฐกิจโลก อะไรอีกหลายอย่างที่น่าเป็นห่วง ไม่ว่าราคาน้ำมัน และค่าครองชีพ

นายเศรษฐากล่าวว่า ในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจโดยรวมยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกมาก ทั้งกำลังซื้อ หนี้ครัวเรือน เงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน การขยายตัวทางเศรษฐกิจ สงครามรัสเซียกับยูเครนที่ยังไม่จบ ผมว่าเป็นช่วงที่เราต้องมานั่งคิดกันว่าอะไรหลายๆอย่างเริ่มคลี่คลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโควิด แม้จะมีการติดเชื้อมากขึ้น แต่เป็นสายพันธุ์ที่เข้าใจว่าไม่ร้ายแรงเท่าเดลต้า และจากการมีการเปิดประเทศสมบูรณ์แบบแล้ว ฉะนั้น การท่องเที่ยวก็น่าจะเป็นปัจจัยหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจของครึ่งปีหลัง และเงินบาทที่อ่อนค่าน่าจะมีส่วนช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ขยายตัวได้มากขึ้น