‘มึนอ’ ลุยยื่นหนังสือ อสส. ตาม 2 คดี ‘อุ้มหายบิลลี่-เผาบ้านปู่คออี้และชาวบางกลอย’

‘มึนอ’ ลุยยื่นหนังสือ อสส. ตาม 2 คดี ฆาตกรรมบิลลี่-ชัยวัฒน์ เผาบ้านปู่คออี้ และชาวบ้านบางกลอย หลังเรื่องไม่คืบหน้า ตามติดสั่งฟ้องในข้อหาใด

 

วันที่ 25 พ.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา 10.00 น. วันที่ 26 พ.ค.65 มึนอ น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของ บิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ จะเข้ายื่นหนังสือต่อสำนักงานอัยการสูงสูด (อสส.) ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ ขอติดตามความคืบหน้าใน 2 คดี ได้แก่ คดีนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน รื้อถอนเผาทำลายทรัพย์สินของปู่คออี้และชาวบ้านบางกลอย เมื่อปี 2554 กับ คดีการบังคับสูญหายและฆาตกรรมนายบิลลี่ รักจงเจริญ นักต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดินทำกินชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย เมื่อปี 2557 หลังจากที่ได้ยื่นหนังสือขอติดตามคดีครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2565 แต่ยังคงไม่ได้รับแจ้งถึงความคืบหน้าใด ๆ

สำหรับ คดีนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร เผาบ้านปู่คออี้ สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 5-9 พ.ค. 2554 นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ณ ขณะนั้น และเจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติหลายคน เข้ารื้อถอนรวมถึงเผาบ้านเรือนและยุ้งข้าวของปู่คออี้และชาวบ้านบางกลอยเสียหายราว 100 หลัง

ปู่คออี้ หรือ นายคออี้ มีมิ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวกะเหรี่ยงในป่าแก่งกระจาน จึงแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อนายชัยวัฒน์ และพวกต่อพนักงานสอบสวนสภ.แก่งกระจาน และสำนวนถูกส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)

ต่อมา เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2564 ป.ป.ท. ชี้มูลความผิดนายชัยวัฒน์ ว่ามีความผิดร้ายแรง ส่งเรื่องให้ต้นสังกัดและอัยการดำเนินการทางวินัยและดำเนินคดี โดยต้นสังกัดคือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีคำสั่งให้นายชัยวัฒน์ออกจากราชการแล้ว ทว่าจนถึงปัจจุบันกลับยังไม่มีความคืบหน้าจากทางอัยการในการสั่งฟ้องดำเนินคดีแต่อย่างใด แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาแล้วเกิน 10 ปีนับจากวันเกิดเหตุ

นอกจากนี้ การฟ้องคดีเผาทำลายทรัพย์สินดังกล่าวยังเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เจ้าหน้าที่อุทยานไม่พอใจบิลลี่ พอละจี สมาชิก อบต.ห้วยแม่เพรียงและนักต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดินของชาวบ้านบางกลอย ที่ให้ความช่วยเหลือนายคออี้ในการฟ้องคดีดังกล่าว ต่อมาในวันที่ 17 เม.ย. 2557 บิลลี่ก็ได้หายตัวไปในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หลังจากถูกควบคุมตัวโดยนายชัยวัฒน์

ล่าสุด ในการยื่นหนังสือติดตามคดีของ มึนอ พิณนภา ต่อ ดีเอสไอ และ อสส. เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2565 ทราบความคืบหน้าในคดีการหายตัวไปของบิลลี่ว่า หลังจากดีเอสไอกลับมาสืบคดีนี้อีกครั้งในเดือนเมษายน 2563 ดีเอสไอได้สรุปสำนวนเห็นควรสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์และพวกรวม 4 คน ในข้อหาฆาตกรรมบิลลี่และข้อหาอื่น ๆ ส่งพนักงานอัยการ

ต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาบางคนในบางข้อหา ซึ่งอธิบดีดีเอสไอในขณะนั้นได้มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าวไปยังอัยการสูงสุด ต่อมาสำนักงานอัยการสูงสุดจึงสั่งให้ดีเอสไอสอบพยานเพิ่มเติม 7 ปาก และสอบสวนเพิ่มใน 4 ประเด็น ซึ่งดีเอสไอได้แถลงในวันที่ 18 ม.ค. 2565 ว่า ดีเอสไอได้ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมเสร็จสิ้นแล้ว และได้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเรียบร้อยแล้วในเช้าวันดังกล่าว

ส่วน อสส. แถลงในวันเดียวกันว่า ได้รับสำนวนจากดีเอสไอแล้ว และจะมีการสั่งฟ้องมาตรา 157 (เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ) ในคดีนี้อย่างแน่นอน แต่ไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าจะมีการสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์ในข้อหาฆาตกรรมหรือไม่

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนให้สื่อมวลชนและประชาชน ติดตามการเข้ายื่นหนังสือของมึนอ พิณนภา เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีทั้งสองต่ออัยการสูงสุด ตามวันและเวลาดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เร่งรัดให้อัยการสูงสุดการดำเนินการทางกฎหมายในคดีทั้งสองตามอำนาจหน้าที่อย่างเป็นธรรมและรวดเร็ว และร่วมกันติดตามแถลงความคืบหน้าของอัยการสูงสุดในวันดังกล่าว ว่าจะมีการสั่งฟ้องนายชัยวัฒน์หรือไม่ และในข้อหาใด เพื่อเป็นบรรทัดฐานไม่ให้เกิดกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐละเมิดนักปกป้องสิทธิที่เพียงแต่ออกมาปกป้องบ้านเกิดของตนเช่นนี้อีก

ติดตามสรุปคดีการหายตัวไปของ บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ อย่างละเอียด ได้ที่ https://www.facebook.com/CrCF.Thailand/photos/a.417098988337393/3877729972274260/