ถ้ายอมรับว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง ก็ต้องเอาตัวมาลงโทษ แต่ในรัฐบาลนี้มีการจับยาล็อตใหญ่ครั้งแรกที่ออสเตรเลียตั้งแต่ 7 มิถุนายน 2562 ยังไม่ปรากฏการจับกุมดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องในไทย

การส่งของแม้แต่ทางรถทัวร์ยังต้องบันทึกหลักฐานทั้งผู้ส่งผู้รับ การบรรจุตู้คอนเทนเนอร์ส่งออกทางเรือยิ่งมีขั้นตอนมากกว่า หลักฐานเชื่อมโยงได้ตั้งแต่โกดังเก็บสินค้า รถขนส่ง ทำเอกสาร พิธีการศุลกากรขาออก ฯลฯ เรื่องพวกนี้ต้องระบุตัวคนเกี่ยวข้องทั้งหมด ยาไปโผล่ต่างประเทศ ต้นทางเอาตัวใครมาสอบไม่ได้เลยเป็นไปได้อย่างไร

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่านิวซีแลนด์เป็นอีกประเทศที่มีข่าวจับยาเสพติดจากไทย เท่ากับปี 2562 มีการจับกุม 3 ครั้ง ที่ออสเตรเลีย 2 ครั้ง นิวซีแลนด์ 1 ครั้ง

ปี 2563 ยังไม่พบข่าวการจับกุม แต่ไม่ยืนยันว่าไม่มีการส่งออก

ปี 2564 เฉพาะเดือนพฤษภาคม มีการจับกุมถึง 4 ครั้ง ฮ่องกง 2 ครั้ง ออสเตรเลีย 1 ครั้ง เกาหลีใต้ 1 ครั้ง

กรกฎาคมที่ฮ่องกง 1 ครั้ง และล่าสุดที่ไต้หวันเมื่อ 25 พฤศจิกายน

มูลค่ารวมที่ถูกจับได้กว่า 67,597.07 ล้านบาท ถ้าสันนิษฐานว่ายานรกที่หลุดรอดไปมีจำนวนมากกว่า เท่ากับยาเสพติดที่ไม่ถูกจับกุมมูลค่าเกินกว่า 100,000 ล้านบาทหรือไม่

นายกฯต้องไม่พูดแบบขอไปที อย่าปล่อยให้ให้หน่วยงานทั้งตำรวจ ทหาร ป.ป.ส. ศุลกากร และอื่นๆต่างคนต่างทำตามหน้าตักตัวเอง ต้องบูรณาการสอดรับกัน ลงมาเล่นเอง ทำให้ชัดเจนโปร่งใส เริ่มจากตั้งโต๊ะแถลงความคืบหน้าเป็นรายกรณี ตั้งแต่คดีแรกที่มีการจับกุมยาเสพติดจากประเทศไทยในรัฐบาลนี้

อย่าโยงเป็นการเมือง ถ้ารัฐบาลอื่นมีกรณีแบบนี้ผมก็เรียกร้องเช่นกัน จะใส่เสื้อสีอะไรหรือยกมือกี่นิ้ว คงไม่มีใครยอมให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางยาเสพติดในภูมิภาค ภายในสัปดาห์หน้าประชาชนควรได้ทราบความคืบหน้าเรื่องนี้

ผมจะรอดูว่าระหว่างข่าวต่างประเทศจับล็อตใหม่ กับรัฐบาลไทยชี้แจงเรื่องเก่า อะไรจะเกิดก่อน