เผยแพร่ |
---|
ตลอดสัปดาห์มานี้ ได้มีกรณีการแจ้งข้อหาต่อผู้วิพากษ์วิจารณ์การบริหารประเทศของรัฐบาล คสช. ถึง 2 คน คนแรกเป็นถึงนักการเมืองชื่อดังของพรรคการเมืองที่ถูกไล่ต้อนอย่างหนักในตอนนี้ และคนที่สองเป็นสื่อมวลชนระดับอาวุโส โดยกล่าวหาด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาของไทยซึ่งถือว่าไม่เคยได้ยินตามหน้าสื่อมานาน แต่กลับใช้บ่อยขึ้นตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2557 อย่าง มาตรา 116 ที่ความผิดตามมาตรานี้คือ “ยุยงปลุกปั่น” กลายเป็นกฎหมายมาตราล่าสุดที่ถูกใช้เพื่อสยบการต่อต้านรัฐบาล คสช.ไม่ให้ขยายตัวตั้งแต่บนท้องถนนจนถึงบนโลกโซเชียล
ข้อหา ‘ยุยงปลุกปั่น’ที่กล่าวถึงกันอยู่ขณะนี้ อยู่ในประมวลกฎหมายอาญาภาคที่ 2 ลักษณะที่ 2 ซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร (ในลักษณะนี้ยังมี มาตรา 112 หรือที่รู้จักกันในกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวมอยู่ด้วย) โดยความผิดในฐานยุยงปลุกปั่นอยู่ใน มาตรา 116 บัญญัติไว้ว่า
“ผู้ใดกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
(๑) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย
(๒) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(๓) เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี”
โดยโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชนหรือไอลอว์ ให้รายละเอียดกับกฎหมายมาตรานี้ว่า มาตรา 116 เป็นความผิดอาญาที่มุ่งเอาผิด “การทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่น” หมายความว่า กฎหมายนี้เป็นกรอบกำกับการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะไม่ให้กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ
หากเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ไม่ว่าจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายที่เห็นว่าไม่ชอบธรรม หรือ สำหรับยุคที่มีรัฐธรรมนูญ หากเป็นการใช้เสรีภาพการแสดงความคิดเห็นตามสิทธิขึ้นพื้นฐานในรัฐธรรมนูญ ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 116 และที่สำคัญเมื่อกฎหมายนี้อยู่ในหมวด “ความมั่นคง” การกระทำที่จะถือว่าผิดมาตรา 116 ผู้กระทำต้องมีเจตนาให้กระทบต่อความมั่นคงด้วย
แต่เดิมนั้นการพิจารณาคดีอาญาในความผิดลักษณะนี้ รวมถึง มาตรา 116 อยู่ในขอบเขตของศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นศาลที่พิจารณาคดีต่อพลเรือน กระทั่งเมื่อประกาศ คสช. ที่ 37/2557 ประกาศให้ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาในลักษณะความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ซึ่งมี ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่มาตรา 107 ถึงมาตรา 112 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่มาตรา 113 ถึงมาตรา 118
ยกเว้นความผิดซึ่งการกระทําผิดเกิดขึ้นในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 หรือพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2558 และความผิดตามประกาศหรือคําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้ศาลทหารมีอำนาจในการพิจารณาคดีตามความผิดดังกล่าวแทนศาลพลเรือน
ต่อมา คสช.ได้ออกประกาศคำสั่งที่ 55/2559 เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2559 ให้ยกเลิกอำนาจของศาลทหารในการพิจารณาคดีที่ระบุตามประกาศกลับไปอยู่ในอำนาจพิจารณาคดีของศาลยุติธรรม
ตลอด 3 ปี ภายใต้รัฐบาล คสช. มาตรา 116 ได้ถูกใช้ในการเอาผิดกับบุคคลหรือกลุ่มคนที่ออกมาต่อต้านการรัฐประหารและวิพากษ์วิจารณ์การบริหารประเทศของรัฐบาล คสช. โดยเห็นว่ามีพฤติการณ์สร้างความกระด้างกระเดื่องต่ออำนาจรัฐในหมู่ประชาชน อันเป็นภัยต่อเสถียรภาพในการบริหารและความมั่นคงของชาติ ซึ่งไอลอว์และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้มีการรวบรวมข้อมูลมาอย่างต่อเนื่อง และพบว่ามีมากมายจากหลายอาชีพ ตั้งแต่ ประชาชน นักศึกษา ทนายความ นักเคลื่อนไหว จนมาถึงนักการเมืองและสื่อมวลชน ที่โดนข้อหานี้ ทั้งถูกตั้งข้อกล่าวหาและอยู่ในชั้นพิจารณาคดี อาทิ
– นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด นักกิจกรรมสังคม ถูกจับเมื่อ 5 มิถุนายน 2557 หลังฝ่าฝืนไม่เข้ารายงานตัวตามคำสั่งคสช. และมีการโพสต์รวมถึงทวิตข้อความชวนทำกิจกรรมต่อต้าน คสช.ทำให้โดนตั้งข้อหาตาม มาตรา 14 (3) พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ร่วมด้วย โดยขณะนี้อยู่ในการพิจารณาชั้นสืบพยาน
–ชาวเชียงราย 3 คน ได้แก่ ออด ถนอมศรี และสุขสยาม ถูกจับเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2557 จากการติดป้ายมีข้อความขอแบ่งแยกเป็นประเทศล้านนา ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาที่ศาลจังหวัดเชียงราย
– นายชัชวาลย์ นักข่าวอิสระจากจังหวัดลำพูน ที่รายงานข่าวการชุมนุมต่อต้านการรัฐประหารผิดวัน จากวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 เป็นวันที่ 1 มิถุนายน 2557 ต่อมาศาลทหารจังหวัดเชียงใหม่พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากจำเลยเพียงนำเสนอข่าวเหตุการณ์ประจำวัน และโจทก์ไม่อาจนำสืบจนสิ้นสงสัยได้ว่า จำเลยมีเจตนาสร้างความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน
– นายสิทธิทัศน์ และวชิร ถูกจับจากการโปรยใบปลิว ที่มีข้อความต่อต้านคสช. บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ปัจจุบันคดียังไม่มีความคืบหน้า
– นายพลวัฒน์ จากการโปรยใบปลิวต่อต้านคสช. 4 แห่งในอ.เมือง จ.ระยอง ปัจจุบันคดียังไม่มีความคืบหน้า
– 14 นักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่ จากการชุมนุมต่อต้านคสช. และเรียกร้องหลักการ 5 ข้อ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2558 คดีอยู่ระหว่างการสอบสวน
– ชญาภา ที่ถูกจับเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2558 จากการโพสข่าวลือว่าจะมีการรัฐประหารซ้อน ซึ่งโดนตั้งข้อหามาตรา 116 พร้อมกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และมาตรา 112 ด้วย
– รินดา พรศิริพิทักษ์ จากการโพสเฟซบุ๊กกล่าวหาว่าพล.อ.ประยุทธ์ โอนเงินหมื่นล้านไปสิงคโปร์ และตั้งข้อหามาตรา 116 กับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ต่อมาศาลได้เห็นว่าไม่มีลักษณะความผิดตาม มาตรา 116 แต่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามมาตรา 328 และให้ไปฟ้องที่ศาลพลเรือน
นายประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสของข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ โดยนายประวิตรได้โพสต์เฟซบุ๊กเปิดเผยว่า เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 1 สิงหาคม 2560 พ.ต.ท. กิตตินัทธ์ ประชุมสุข รองผู้กำกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ได้ติดต่อแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะแจ้งข้อหาว่ากระทำผิดตามมาตรา 116 ผ่านการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กประมาณ 5 โพสต์ โดยไม่ทราบว่าเป็นข้อความใด ซึ่งนายประวิตรจะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 8 สิงหาคมนี้
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตแกนนำทีมเศรษฐกิจของพรรคไทยรักษาชาติและแกนนำกลุ่มก้าวต่อไปเพื่อประชาธิปไตย เข้ารับทราบข้อหากับเจ้าหน้าที่ ปอท.เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2560 จากโพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยและทฤษฎีกบต้ม ในช่วงวันที่ 26 และ 27 กรกฎาคม 2560
ทั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ยังต้องเผชิญและต่อสู้คดีในข้อหานี้ต่อไป แต่วันข้างหน้าอาจไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ตราบใดที่ยังคงมีการเคลื่อนไหวต่อต้านหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่เนืองๆ อาจมีประชาชนที่ต้องถูกตั้งข้อหาในความผิดดังกล่าวนี้เพิ่มขึ้นอีกก็เป็นได้