‘ไทยไม่ทน’ ระบุพรก.ฉุกเฉินฯ ไม่ได้มีอำนาจเหนือรธน. ขู่ตร.เจอ ม.157 หากออกหมายจับ

ไทยไม่ทน ระบุพรก.ฉุกเฉินฯ ไม่มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ หากตำรวจออกหมายจับมีความผิด 157 ชี้พิรุธทักษิณกลายเป็นแนวร่วมมุมกลับให้พล.อ.ประยุทธ์ จี้พลังประชารัฐกดดันนายกลาออกและยกเลิกพรก.ฉุกเฉินฯ

วันที่ 21 มิถุนายน 2564 นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และผู้ร่วมก่อตั้งไทยไม่ทน คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย กล่าวว่าหลังจากกลุ่มไทยไม่ทน คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาละเมิด พรก.ฉุกเฉินฯ ในคดีสวนสันติพร เมื่อวานนี้นั้น แกนนำไทยไม่ทนได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาและจะส่งคำให้การเป็นลายลักษณฺ์อักษรอีกครั้งหนึ่งภายในวันที่ 7 กรกฎาคม เนื่องจากพนักงานสอบสวนจะดำเนินการสรุปสำนวนอย่างเร่งรัดส่งอัยการในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ โดยไม่มีการสอบสวนพยานที่จะนำเสนอเพิ่มเติมแต่อย่างใด

ขอยืนยันว่า รัฐบาลตั้งข้อหาไทยไม่ทนโดยมิชอบเพื่อเป็นการกลั่นแกล้งคุกคามประชาชนเพื่อไม่ให้การชุมนุมขับไล่รัฐบาลเป็นไปอย่างราบรื่นในวันที่ 24 มิถุนายนนี้ โดยการเร่งรัดคดีส่งอัยการเพื่อส่งฟ้องศาลเพื่อให้พวกเราไปเสียเวลาในการต่อสู้คดีแทน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีการเลื่อนคดีเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเป็นวันที่ 29 กรกฎาคมไปแล้ว ดังนั้น นายวีระ สมความคิด และแกนนำอีกหลายคนจะยังไม่มารายงานตัว เนื่องจากเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังข่มขู่คุกคามกลั่นแกล้ง เนื่องจากอัยการไม่สามารถสั่งตำรวจให้ออกหมายจับทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงวันนัดได้ และผู้ต้องหายังไม่ได้ผิดนัด หากตำรวจให้ศาลออกหมายจับด้วยข้ออ้างการจะจัดการชุมนุมวันที่ 24 นี้ก็เท่ากับต้องไปโกหกศาลเพื่อรับใช้ผู้มีอำนาจที่กดดันมา ดังนั้น จะมีการยกระดับการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ด้วยอย่างแน่นอน และเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจถูกฟ้องผิดมาตรา 157 ละเว้นและเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย หากมีการออกหมายจับแกนนำไทยไม่ทน

พี่น้องเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ต้องเต้นตามระบอบประยุทธ์ที่กำลังจะหมดอำนาจลง เพื่อเมื่อประชาชนพากันเดินไปข้างหน้า พล.อ.ประยุทธ์ และพวกจะต้องถูกบังคับให้เดินถอยหลังออกไปอย่างแน่นอน ดังนั้น อย่ากลั่นแกล้งโดยการใช้กฎหมายมาบีบโดยมิชอบ ตนขอเรียกร้องให้ตำรวจต้องสอบสวนพยานเพิ่มเติมประกอบสำนวน ไม่ต้องรีบร้อนนำส่งอัยการเพื่อฟ้อง โดยเฉพาะอาสาสมัครด้านสาธารณสุขที่มาตรวจวัดอุณหภูมิ แจกหน้ากากอนามัย รวมถึงผู้กำกับ สน.ชนะสงครามที่สามารถเป็นพยานบุคคลได้ว่ามีมาตรการตามมาตฐานของ ศบค.และคำสั่ง กทม. รวมถึงพยาบาลจากโรงพยาบาลตำรวจที่มาคัดกรองตรวจหาโรคโควิด-19 ในที่ชุมนุมด้วย ใส่ปากคำพยานไปเพิ่มเติมคดีถึงจะเกิดความเป็นธรรม ซึ่งก่อนหน้านี้เอง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เคยกล่าวภายหลังการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องว่า จะไม่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดำเนินคดีทางการเมืองของประชาชน

การประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรี เป็นไปโดยมิชอบและขัดรัฐธรรมนูญทุกฉบับที่รับรองสิทธิในการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธของประชาชนถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน รวมถึงรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 44 ที่คุ้มครองไว้ และมาตรา 5 เขียนไว้ชัดเจนว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทําใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทํานั้นเป็นอันใช้บังคับ มิได้ แต่พล.อ.ประยุทธ์ กำลังทำให้ พรก.ฉุกเฉินฯ มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญการปกครองประเทศ เพื่อให้ตนเองมีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์แต่เพียงผู้เดียว เพื่อรวมศูนย์อำนาจโดยไม่สนใจรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ โดยเฉพาะอนุสัญญา ICCPR มาตรา 21 ที่มีผลใช้บังคับกับไทยตั้งแต่ปี 2540 แม้แต่ประมุขของประเทศยังละเมิดไม่ได้

นับวันพล.อ.ประยุทธ์ จะทำให้สถานการณ์สิทธิมนุษยชนและกระบวนการยุติธรรมไทยตกต่ำลง ผมกลัวว่าคณะรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบอบประยุทธ์จะโดนหางเลขไปด้วย เมื่อถึงวันที่ต้องคดีภายในประเทศและระหว่างประเทศหลังหมดอำนาจลง เนื่องจากการทุจริตประพฤติมิชอบ เอาผลประโยชน์ส่วนรวมไปมอบให้กลุ่มทุนผูกขาดเศรษฐกิจ ทำธุรกิจการเมืองผ่านนักธุรกิจพลังงานที่ชื่อ ส. ให้อำนาจอดีตผู้ต้องหาค้ายาเสพติดใช้เงินนอกระบบปันผลประโยชน์ในการเมืองระบบรัฐสภา กลายเป็นการฮั้วกันทั้งระบบการเมืองแบบอำนาจนิยม โดยใช้งบลับเข้าซื้อสื่อตระกูล ส. และมีการเชื่อมประสานผลประโยชน์ของระบอบทักษิณเดิม เข้ากับระบอบประยุทธ์อย่างแยบยลจนสังคมจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน

การที่พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาพูดกับสื่อบ่อยๆ นั้น กลายเป็นแนวร่วมมุมกลับให้พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในอำนาจต่อไป เนื่องจากมีการใช้การเมืองแบบแบ่งแยกแล้วปกครอง ชี้นำคุณค่าทางสังคมแบบผิดๆ ให้ประชาชนหลงติดในลัทธิผู้นำ ขณะที่ประชาชนที่ถูกแบ่งแยกรังเกลียดระบอบทักษิณจึงหันมาอดทนต่อระบอบประยุทธ์ต่อไปมากขึ้นโดยไม่สนใจว่าประเทศจะล่มจมอีกนานเท่าไหร่ ดังนั้น อย่าหลงกลเกมการเมืองแบบเก่า เพราะวันนี้ธุรกิจการเมืองของทักษิณ ได้เชื่อมโยงกับระบอบประยุทธ์แล้ว ผ่านคนกลางชื่อ ส. และต่อไปที่พล.อ.ประวิตร โดยตรง

ผมจึงอยากเรียกร้องให้พล.อ.ประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนใหม่ ได้เกรงกลัวต่อบาป ช่วยกดดันให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออกและยกเลิก พรก.ฉุกเฉินฯ โดยเร็วที่สุด ก่อนที่จะพังกันไปทั้งประเทศ พังไปทั้งรัฐบาล พังไปทั้งพรรคพลังประชารัฐ เพราะการใช้ระบบสามานย์กับประชาชนในทุกรูปแบบ หาก พรก.ฉุกเฉิน ปิดกั้นกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศแล้ว ท่านทั้งหลายจะกลายเป็นจำเลยนอกประเทศด้วยด้วยหากมีการใช้ช่องทางกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศแทนในอนาคต

โดยกลุ่มไทยไม่ทน คณะสามัคคีประชาชนฯ จะไปสรุปความผิดของพล.อ.ประยุทธ์ และข้อเสนอทางการเมืองอีกครั้งที่หน้าทำเนียบรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ เวลา 10.00 น. ก่อนการจัดชุมนุมในวันที่ 24 มิถุนายนนี้ที่จะมีประชาชนที่ไม่ทนอีกต่อไปมารวมตัวกันเป็นแม่น้ำร้อยสายมายังทำเนียบรัฐบาล โดยตอนนี้เท่าที่ทราบมีหลายกลุ่มประกอบไปด้วย

1.กลุ่มไทยไม่ทน คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย นัดรวมพันที่สะพานผ่านฟ้าเวลา 16.00 น. เพื่อเดินขบวนมุ่งหน้าไปยังทำเนียบรัฐบาลผ่านถนนนครสวรรรค์ 2.กลุ่มประชาชนคนไทย รวมพลที่แยกอุรุพงษ์ มุ่งหน้าทำเนียบรัฐบาลผ่านถนนพิษณุโลก 3.เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประเชาธิปไตย รวมพลหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง เวลา 14.00 น. ก่อนเคลื่อนขบวนแห่รถยนต์และมอเตอร์ไซด์มุ่งหน้าทำเนียบรัฐบาล และ 4.กลุ่มราษฎร เครือข่ายธรรมศาสตร์และการชุมนุม รวมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในเวลา 11.00 น. โดยจะเดินทางไปยื่นหนังสือที่รัฐสภาเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกมาตรา โดยผู้ชุมนุมบางส่วนจะตามมาสมทบร่วมกันที่หน้าทำเนียบรัฐบาล