ส่องเงื่อนไขฉีดวัคซีนในอเมริกา ไปรัฐไหนได้ฉีดฟรี? แม้ไม่ได้เป็นพลเมือง

สหรัฐอเมริกา นับว่าเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่เริ่มมีการฉีดวัคซีนให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศหรือที่รู้จักกันในชื่อ Vaccine Tourism นั่นเอง เพื่อเป็นการเร่งและฟื้นฟูการท่องเที่ยวในประเทศให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติได้เร็วขึ้น

Vaccine Tourism ที่สหรัฐอเมริกา ถูกกฏหมายหรือไม่?

Vaccine Tourism ในสหรัฐอเมริกานั้นถูกกฎหมาย เพราะในหลาย ๆ รัฐในอเมริกาอนุญาตให้บุคคลที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นประชาชนสหรัฐหรือไม่ก็ตาม ขอเพียงคุณมีวีซ่าเข้าประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวีซ่าท่องเที่ยว หรือวีซ่าทำงาน ก็สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ทันที แต่จะไม่ได้รับการการันตีว่าจะได้ฉีดหรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในช่วงนั้น รวมไปถึงรัฐที่คุณเดินทางเข้าไปด้วย เพราะแต่ละรัฐนั้นมีกฎเกณฑ์ และขั้นตอนที่แตกต่างกันออกไปในการแจกจ่ายวัคซีน

เงื่อนไขการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของมลรัฐต่างๆ

1. อลาบามา : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
2. อลาสกา : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลที่ทำงานอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน)
3. แอริโซนา : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
4. อาร์คันซอ : อนุญาตให้บุคคลที่ทำงานอยู่ในรัฐ
5. แคลิฟอร์เนีย : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
6. โคโลราโด : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
7. คอนเนตทิคัต : อนุญาตให้บุคคลที่ทำงานอยู่ในรัฐฉีดได้ แม้ไม่ได้อาศัยอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน)
8. เดลาแวร์ : อนุญาตให้บุคคลที่ทำงานอยู่ในรัฐฉีดได้ แม้ไม่ได้อาศัยอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน)
9. ฟลอริดา : อนุญาตให้บุคคลที่อาศัยอยู่ หรือทำงานอยู่ในรัฐฉีดได้ (มีเอกสารรับรองการทำงาน)
10. จอร์เจีย : อนุญาตให้บุคคลที่ทำงานอยู่ในรัฐฉีดได้ แม้ไม่ได้อาศัยอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน)
11. ฮาวาย : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือได้รับสิทธิพลเมืองชั่วคราว (part-time residents)
12. ไอดาโฮ : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลที่ทำงานอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน)
13. อิลลินอยส์ : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือได้รับสิทธิพลเมืองชั่วคราว (part-time residents)
14. อินเดียนา : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลที่ทำงานอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน)
15. ไอโอวา : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
16. แคนซัส : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
17. เคนตักกี : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
18. ลุยเซียนา : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
19. เมน : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลที่ทำงานอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน)
20. แมรีแลนด์ : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
21. แมสซาชูเซตส์ : อนุญาตให้บุคคลที่อาศัยอยู่ และทำงานในรัฐ
22. มิชิแกน : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
23. มินนิโซตา : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
24. มิสซิสซิปปี : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลที่ทำงานอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน)
25. มิสซูรี : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
27. มอนทานา : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
28. เนบราสกา : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
29. เนวาดา : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
30. นิวแฮมป์เชียร์ : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
31. นิวเจอร์ซี : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลที่ทำงาน หรือศึกษาอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน หรือเอกสารรับรองการศึกษา)
32. นิวเม็กซิโก : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
33. นิวยอร์ก* : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
34. นอร์ทแคโรไลนา : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
35. นอร์ทดาโคตา : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
36. โอไฮโอ : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
37. โอคลาโฮมา : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
38. โอเรกอน : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลที่ทำงาน หรือศึกษาอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน หรือเอกสารรับรองการศึกษา)
39. เพนซิลเวเนีย : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
40. โรดไอส์แลนด์ : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลที่ทำงาน หรือศึกษาอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน หรือเอกสารรับรองการศึกษา)
41. เซาท์แคโรไลนา : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
42. เซาท์ดาโคตา : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือจนกว่าจำนวนวัคซีนจะมีเพียงพอแล้วจึงอนุญาตให้บุคคลอื่นฉีดได้
43. เทนเนสซี : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
44. เท็กซัส : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
45. ยูทาห์ : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
46. เวอร์มอนต์ : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลที่ทำงานอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน)
47. เวอร์จิเนีย : ไม่กำหนดว่าต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา
48. วอชิงตัน : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลที่ทำงานอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน)
49. เวสต์เวอร์จิเนีย : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลที่ทำงานอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน)
50. วิสคอนซิน : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา หรือบุคคลที่ทำงาน หรือศึกษาอยู่ในรัฐ (มีเอกสารรับรองการทำงาน หรือเอกสารรับรองการศึกษา)
51. ไวโอมิง : ต้องเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ นิวยอร์ก* นั้นเปิดรับ Walk-in ผู้ที่ต้องการฉีดวัคซีนจากทั่วโลก เพียงแค่นำ passport หรือหนังสือเดินทางมาที่ American museum of Natural and history (พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติและประวัติศาสตร์) ในเวลา 08.00-09.00 น. หรือ 17.00-18.00 น. ไม่ว่าจะอยู่ด้วยสถานะอะไร หรือแม้แค่เป็นนักท่องเที่ยว ก็สามารถขอเข้ารับวัคซีนได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ โดยสามารถลงทะเบียนขอรับได้เลย ทั้ง 15 พื้นที่ ทั่ว NYC สามารถเช็กวันเวลา และสถานที่ได้ที่ vaccinefinder.nyc.gov

New York's Hottest Vaccination Site Is Now The American Museum Of Natural History - Gothamist

การหาจุดฉีดวัคซีน โควิด-19 ในอเมริกา

เข้าไปยังเว็บไซต์ Vaccine Spotter เลือกรัฐที่ต้องการค้นหา จากนั้นเลือกชนิดของวัคซีน (วัคซีนของ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันฉีดเพียงเข็มเดียว แต่ของผู้ผลิตรายอื่นต้องพำนักอยู่ในอเมริกาประมาณ 3-4 อาทิตย์ หากต้องการรับวัคซีนเข็มที่สอง) จากนั้นจองวันฉีดผ่านช่องทางออนไลน์

บันทึกข้อมูลการจองทั้งหมดไว้ในอีเมล์ เพื่อความสะดวกเวลานำไปแสดงที่จุดฉีดวัคซีน เมื่อถึงวันนัด ให้เตรียมเอกสารที่จำเป็นไปด้วย เช่น บัตรประชาชน หรือพาสปอร์ตหากไม่ได้เป็นพลเมืองอเมริกัน และเมื่อฉีดแล้ว ให้รับใบรับรองการฉีดวัคซีน CDC vaccine card แล้วนั่งพักรอดูอาการในบริเวณที่จัดไว้

CDC vaccine card

ที่มา : visaplace