‘ส.ภัตตาคารไทย’ ร่อนจม.ร้อง “ประยุทธ์” คำสั่งกทม. เบรกนั่งกินในร้าน เสียหายแสนล้าน-ตกงานเพียบ

วันที่ 3 มกราคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ม.ค. นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ทำจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ถึงผลกระทบจากแนวคิดกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่1 มกราคม 2564 ที่อาจมีคำสั่งไม่ให้นั่งรับประทานที่ร้านอาหาร โดยระบุว่า

กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เรื่อง ชี้แจงข้อมูลเรื่องผลกระทบ COVID-19 ที่อาจมีคำสั่งไม่ให้นั่งรับประทานที่ร้านอาหาร
จากประกาศของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 1 ม.ค.64 ว่าอาจมีมาตรการห้ามนั่งรับประทานอาหารในร้านอาหาร โดยจะต้องซื้อกลับเท่านั้น ทางสมาคมขอเรียนชี้แจงให้เข้าใจเพื่อยกเลิกมาตราการและคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากร้านอาหารเป็นธุรกิจ SME และ MICRO SME ซึ่งมีมูลค่าธุรกิจ 4 แสนล้านบาทต่อปี จากประกาศดังกล่าวจะทำให้มูลค่าธุรกิจร้านอาหารไทยหายไปไม่ต่ำกว่า1แสนล้านและจะทำให้มีผลกระทบเป็นห่วงลูกโซ่ ดังนี้

1.อัตราการจ้างงานซึ่งจะทำให้พนักงานตกงานทันทีเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังจากการกลับมาเปิดธุรกิจร้านอาหารได้มีการว่าจ้างแรงงานกลับเข้าระบบได้เป็นจำนวนมากแต่จากประกาศ วันที่ 1 มกราคม 2564 จะมีผลกระทบต่อการจ้างงานอีกครั้ง

2.ผลกระทบกับสินค้าภาคการเกษตรกร ซึ่งร้านอาหารต้องใช้วัตถุดิบจากภาคเกษตรกรจำนวนมหาศาล ซึ่งจะต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งจากคำสั่งวันที่1 มกราคม 2564 จะมีผลทำให้รายได้ของภาคเกษตรกรลดลงเช่นกัน

3.จะมีผลกระทบเรื่องการจัดเก็บภาษี,vatและเงินประกันสังคมของภาครัฐบาลที่หายไปอีกครั้ง ซึ่งธุรกิจร้านอาหารทั้งในส่วนภัตตาคารและร้านอาหารขนาดเล็กรวมไปถึงร้านอาหารตามริมข้างทางได้ปฎิบัติตามมาตราการป้องกันCOVID-19 จากคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขด้วยความเคร่งครัดมาโดยตลอดรวมไปถึงร้านอาหารขนาดใหญ่และขนาดกลางได้เข้าร่วมอบรมและเรียนรู้จนได้สัญลักษณ์SHAเกิน80%และผู้ประกอบการเกือบทั้งหมดยังตระหนักถึงความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงานที่ปฎิบัติงานในร้านด้วยการเพิ่มมาตราการเสริมเข้าไปมากขึ้นกว่าคำสั่งของสาธารณสุขด้วย

เช่น 1.จัดให้มีการเช็คอินก่อนเข้ารับบริการที่ร้านด้วยแอปพลิเคชันไทยชนะ ,2.ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายทั้งพนักงานและลูกค้าก่อนเข้าร้าน ,3.ทำความสะอาดโต๊ะเก้าอี้ด้วยแอลกอฮอล์ ทุกครั้งเมื่อมีลูกค้าใช้เสร็จ ,4.แจกแอลกอฮอล์ล้างมือทุกครั้งเมื่อมาใหม่ ,5.จัดให้พนักงานทั้งส่วนหน้า,ส่วนหลัง และในครัวมีการใส่ถุงมือยางและผ้าปิดปากตลอดเวลาที่มีการปฎิบัติงาน

6.มีการถูพื้นด้วยน้ำยากำจัดเชื้อโรค ทุกๆ 2-3 ชั่วโมง

7.จัดตารางทำความสะอาดห้องน้ำและถูพื้นด้วยน้ำยากำจัดเชื้อโรค ทุกๆ 2 ชั่วโมง

8.ร้านที่มีประตู ให้เช็ดมือจับด้วยแอลกอฮอล์ ทุกครั้งที่มีการสัมผัส

9.แจกช้อนกลางส่วนตัวให้ลูกค้าเพื่อลดการสัมผัสภาชนะร่วมกัน

10.ร้านอาหารที่มีเครื่องปรับอากาศ ทางร้านจะทำความสะอาดทุกๆ 4 ชั่วโมง

จากการปฎิบัติตามมาตราการที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดมีผลสะท้อนให้เห็นว่า การระบาดCOVID-19 รอบสองในครั้งนี้ไม่ได้มีมูลเหตุหรือต้นตอมาจากร้านอาหารเลย แต่แท้จริงการระบาดรอบสองมาจากกลุ่มธุรกิจที่ผิดกฎหมายทั้งหมด เพราะไม่การปฎิบัติตามมาตราการ

ทางสมาคมภัตตาคารไทย จึงใคร่ขอความกรุณานายกรัฐมนตรีและคณะ ศบค. ช่วยพิจารณาไม่ออกมาตรการห้ามรับประทานอาหารในร้านอาหาร​ ดังที่แถลงข่าวไว้ในวันที่1 มกราคม 2564 โดยให้ร้านอาหารสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติดังเดิม

ภายหลังจดหมายดังกล่าวมีการเผยแพร่ “มติชนออนไลน์” สอบถามไปยัง นางฐนิวรรณ ได้รับการยืนยันว่า ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวจริง ส่งผ่านทางสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เบื้องต้น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แจ้งว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) วันที่ 6 มกราคมนี้

นางฐนิวรรณ กล่าวด้วยว่านอกจากเสนอผ่านตัวแทนภาคเอกชน เชื่อว่าหากสื่อช่วยทำข่าวจะทำให้ นายกรัฐมนตรี ได้รับรู้ถึงผลกระทบที่ผู้ประกอบการกำลังเจอ สาเหตุที่ต้องทำหนังสือเพราะรู้สึกคับแค้นใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การแพร่ระบาดของโควิดเกิดขึ้นจากบ่อน สถานบันเทิง ไม่ใช่ร้านอาหารที่ปฏิบัติตามมาตรฐานสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด รัฐควรไปจัดการตรงนั้น ประกอบกับหากให้ลูกค้าซื้อกลับบ้าน นั่งรับประทานที่ร้านไม่ได้ ผลกระทบนอกจากยอดขายที่ลดลง ยังอาจทำให้แรงงานในระบบหลายล้านต้องตกงานไปด้วย เพราะธุรกิจคงอยู่ไม่ไหว เมื่อรายได้ กำไรลดลง