เผยแพร่ |
---|
อดีตคณบดีนิติศาสตร์ มธ. ร่างจม.ส่งอธิการ จี้ไฟเขียว 19 ก.ย. ชวนศิษย์เก่าลงชื่อ
เมื่อวันที่ 14 กันยายน นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกแถลงการณ์เรื่อง การขอใช้พื้นที่เพื่อการชุมนุมในวันที่ 19 กันยายน โดยกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม โดยมีเนื้อหา ดังนี้
เรียน อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ตามที่มีคณะบุคคลที่เป็นศิษย์เก่านำโดยนายแก้วสรร อติโพธิ ในนาม “กลุ่มศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” เผยแพร่หนังสือแสดงข้อกล่าวหาและเหตุผลสนับสนุน 5 ข้อ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อศิษย์เก่าให้นับสนุนการปิดกั้นไม่ให้นักศึกษาและประชาชนใช้พื้นที่ในการชุมนุมทางการเมืองในวันที่19 กันยายนนี้นั้น พวกเราคณะศิษย์เก่าและประชาชนผู้รักธรรมศาสตร์ผู้มีรายชื่อข้างล่างนี้ ขอเรียนถึงความห่วงกังวลของเราในเบื้องต้นก่อนว่า กลุ่มบุคคลที่เป็นศิษย์เก่ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ควรอ้างคนเป็นเสมือนตัวแทนศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ทั้งปวง ด้วความจริงที่ว่าในบรรดาศิษยเก่าทั้งหลาย่อมมีคนที่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่อย่างหลากหลาย ดังนั้น การยกอ้างตนว่าเป็นเสียงของประชาคมธรรมศาสตร์โดยรวมจึงไม่เป็นธรรมกับศิษย์เก่าที่เห็นต่าง ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ การยกอ้างนามธรรมศาสตร์ในกรณีนี้กลับทำเพื่อสนับสนุนการกระทำที่ปิดกั้นและขัดขวางการเรียกร้องประชาธิปไตย พวกราจึงขอย้ำตือนให้ท่านอธิการบดีและกลุ่มที่สนับสนุนการปิดกั้นพื้นที่ พึงระลึกไว้เสมอว่าจิตวิญญาณแห่งความเป็นธรรมศาสตร์นั้นคือการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพภาพตามระบอบประชาธิปไตย
เมื่อพิจารณาจากข้อกล่าวหาแต่ละข้อในหนังสือของคณะดังกล่าวแล้ว วิญญูชนน่าจะพิจารณาได้เองว่า ข้อกล่าวหาทั้งหลายนั้นเลื่อนลอยอย่างมาก เพื่อปกป้องเกียรติภูมิของปัญญาชนชาวธรรมศาสตร์ พวกเราขอแสดงออกเพื่อตอบโต้หนังสือดังกล่าว ดังนี้
1.ข้อแรกของหนังสือดังกล่าวโจมตีเป้าประสงค์ของการชุมนุมที่ระบุว่า “เพื่อต่อสู้สร้างบาดแผลให้เผด็จการ” แต่หนังสือของกลุ่มดังกล่าวกลับไม่ได้แสดงเหตุผลว่า การต่อสู้เพื่อสร้างบาดแผลให้กับเผด็จการนั้น มันผิดต่อหลักการประชาธิปไตยตรงไหน อย่างไร นอกจากนี้ หนังสือฉบับดังกล่าวยังเน้นชี้ที่ถ้อยความที่คณะผู้จัดชุมนุมที่สัญญาไว้กับกลุ่มมวลชนว่า “พี่น้องจะไม่กลับมือเปล่าอย่างแน่นอน” โดยไม่แสดงเหตุผลอีกเช่นกันว่า คำสัญญานี้มีปัญหาต่อบ้านเมืองอย่างไร ในเมื่อการขับเคลื่อนทางการเมืองย่อมต้องมุ่งหวังความคืบหน้า การสัญญาว่าการออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยในแต่ละคราวจะต้องไม่สูญเปล่า จะเป็นประเด็นปัญหาไปได้อย่างไร
2.ข้อกล่าวหาที่ว่า กลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม เป็นมวลชนสร้างความจงเกลียดจงชัง จนถึงขนาดก้าวร้าวราวกับเร้ดการ์ดจนยากที่จะเชื่อหรือหวังในความสงบนั้น พวกเราอ่านแล้วตกใจมาก เนื่องจากเห็นว่า
หนังสือฉบับนี้ผ่านการเห็นชอบโดยผู้มีการศึกษาและประสบการณ์ในหน้าที่การงานมามากเกินกว่าที่จะขาดความยั้งคิดจนกล่าวหากลุ่มนักศึกษาอย่างไร้ซึ่งพยานหลักฐานได้อย่างร้ายแรงถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่สามารถเห็นได้จากข่าวสารที่เผยแพร่อยู่ทั่วไปว่า การชุมนุมโดยกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุมที่ผ่านมานั้น เป็นไปอย่างสันติไม่มีการใช้กำลังทำลายทรัพย์สินหรือร่างกายผู้ใด และหากจะกล่าวหาโดยเหมารวมเอาการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษาและประชาชนทั้งหมดทั่วประเทศที่เกิดขึ้นในรอบเกือบสองเดือนที่ผ่านมาว่าก้าวร้าวรุนแรง ก็ไม่ปรากฎเลยว่ามีการใช้กำลังหรือความรุนแรงในการชุมนุมครั้งใด จะมีบ้างก็แต่การใช้ถ้อยคำที่กระทบกระแทก เสียดสีอยู่บ้างในขณะปราศรัย ในส่วนนี้ พวกเราขอให้ศิษย์เก่าที่คิดจะลงชื่อสนับสนุนข้อกล่าวหานี้พึงไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน และพึงเทียบกับการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองของศิษย์เก่าบางท่านในนามธรรมศาสตร์
ในปี พ.ศ.2557 ว่าการชุมนุมที่ใช้ความรุนแรง สร้างความวุ่นวายในบนเมือง ขัดขวางการเลือกตั้งและบ่อนทำลายประชาธิปไตยนั้นเป็นเช่นไรกันแน่
3.ที่ว่าการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นนี้สุ่มเสี่ยงสูงสุดนั้น การจะกล่าวว่าการชุมนุมที่กำลังจะเกิดขึ้นจะมีระดับความเสี่ยงสูงสุดย่อมต้องพิจารณาจากการชุมนุมครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าที่จัดโดยกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมชุม หรือจัดโดยกลุ่มเยาวชน/ชนประชาชนปลดแอก ล้วนมีการบริหารจัดการที่มาจากความร่วมมือร่วมใจกันในแนวระนาบ โดยยังไม่เคยปรากฎว่ามีการชุมนุมครั้งใดที่มีปัญหาหรือแม้แต่เกือบจะมีปัญหาเกี่ยวกับความรุนแรง แม้กระทั่งคราวที่ถนนราชดำเนินเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมอีกฝ่ายอยู่ด้วยในบริเวณเดียวกัน ก็ไม่ได้มีท่าว่าจะมีปัญหาใช้ความรุนแรงต่อกันแต่อย่างใด นอกจากนี้ การกล่าวหาว่า มองไม่เห็นเลยว่า นักศึกษากลุ่มนี้จะมีความสามารถในการบริหารจัดการ นับว่าเป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอยอย่างมาก เพราะขัดกับหลักฐานที่เห็นได้จากการจัดการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตเมื่อ 10 สิงหาคมที่ผ่านมาว่ามีการบริหารจัดการดีเพียงใด นอกจากนี้ หากท่านที่กล่าวหาเช่นนั้นเป็นผู้ใหญ่ที่ให้คุณค่าและความใส่ใจต่อเยาวชนของประเทศชาติที่มีความตื่นตัวทางการเมือง ผู้กล่าวหาย่อมประจักษ์ทางข่าวสารในเฟสบุ๊คเพจของกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม กลุ่มนักศึกษานี้ได้ประสานงานเตรียมการ โดยประกาศหาอาสาสมัครและฝึกซ้อมการจัดการ งานในด้านต่างๆ เอาไว้แล้ว
4.ข้อคิดเห็นในข้อ 4 ของหนังสือฉบับดังกล่าวระบุว่า กลุ่มนักศึกษานี้ไว้วางใจไม่ได้ เพราะมีผู้อยู่เบื้องหลัง และนักศึกษาถูกเชิดออกหน้า ในส่วนนี้ ท่านกทั้งหลายที่ลงนามหรือคิดจะลงนามในหนังสือดังกล่าวที่เป็นผู้มีความรู้และประสบการณ์ในสาขาวิชาต่างๆ หากได้ติดตามรับฟังเนื้อหาในการปราศรัยเละการแถลงข่าวครั้งต่างๆ โดยใช้วิจารณญาณย่อมประจักษ์ได้เองว่าบรรดาแกนนำนักศึกษาล้วนมีความรู้ความเข้าใจต่อปัญหาบ้านเมืองเป็นอย่างดี อีกทั้งเยาวชนเหล่านี้ยังมีทักษะในการนำที่สูง นอกจากนี้ หากได้ติดตามข่าวสารในขณะที่แกนนำบางรายถูกเจ้าหน้าที่จับกุม ย่อมได้เห็นถึงวุฒิภาวะและความสามารถในการควบคุมอารมณ์ที่สูงมาก ในส่วนของการชี้ว่าการเคลื่อนไหวขาดความโปร่งใสในเรื่องที่มาของค่าใช้จ่ายนั้น พวกเราคงต้องย้อนถ ามกลับไปยังผู้กล่วหาว่า ทราบหรือไม่ว่ากลุ่มนักศึกษาได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากบุคคลจำนวนหนึ่งที่ช่วยระดมเงินผ่านเครือข่ายทางโซเชียลมีเดียและผู้สนับสนุนรายเล็กรายน้อยถ้าสามารถใช้ internet banking โอนเงินเป็นค่าใช้จ่ายให้เองได้โดยตรง
5.สุดท้าย ในข้อ 5 ของหนังสือฉบับนั้นสรุปลงท้ายว่า ธรรมศาสตร์มีส่วนร่วมด้วยไม่ได้ โดยกล่าวหา ว่าคำขอจัดการชุมนุมในครั้งนี้ไม่สุจริต ไม่โปร่งใส ไม่มีความสามารถและความรับผิดชอบที่ต่ำกว่ามาตรฐานประชาธิปไตย พวกเรา ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าเฉกเช่นเดียวกันกับท่านทั้งหลายที่ร่วมลงนามและสนับสนุนการปิดกั้น ขอย้ำว่า ความเป็นธรรมศาสตร์นั้นอยู่เหนือการเป็นผู้บริหารสถาบันแห่งนี้ และการเปินศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ที่จะยกอ้างความเป็นธรรมได้อย่างมีน้ำหนักนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับว่า ที่ผ่านมาผู้อ้างมีพฤติกรรมที่สะท้อนว่าเข้าใจในอุดมการณ์ประชาธิปไตยของผู้ประศาสน์การเพียงใด นอกจากนี้ ก่อนที่จะตัดสินว่าผู้ใดมีบรรทัดฐานความประพฤติและการกระทำที่ต่ำหรือสูงตามหลักประชาธิปไตยนั้น สมควรที่ผู้กล่าวหาจะหันมาพิจารณาตนเองให้ดีเสียก่อน ที่สำคัญอันปฏิเสธไม่ได้และน่าอับอายต่อสังคมป็นอย่างยิ่ง คือการที่บุคคลซึ่งเคยทรยศต่อจิตวิญญาณธรรรมศาสตร์กลับกลายเป็นผู้กำลังชี้นิ้วกล่าวหาคณะนักศึกษาที่เคลื่อนไหวด้วยพลังบริสุทธิ์ กล่าวคือ เมื่อไม่นานมานี้ มีกลุ่มศิษย์เก่าจำนวนหนึ่งได้ดึงเอาธรรมศาสตร์เข้าไปเกี่ยวข้องเชื้อเชิญให้มีการใช้กำลังทำรัฐประหารจนเป็นที่มาของรัฐบาลเผด็จการในเวลาต่อมา จนก่อให้เกิดสภาพการเมืองที่ผูกขาดอำนาจ ย่ำเเย่อยู่เช่นทุกวันนี้
ในฐานะที่พวกเราศิษยเก่าทั้งหลายมีบรมครูคนเดียวกัน คือท่านผู้ประศาสน์การ นายปรีดี พนมยงค์ พวกเราจึงยังคงหวังว่าผู้ที่เห็นดีเห็นงามกับการปิดกั้นจะทบทวนตนโดยสุจริตใจตามหลักวิชาที่ร่ำเรียนและสั่งสอนนักศึกษามา เพื่อที่จะได้ดึงตนกลับมาให้ดำรงมั่นอยู่ในหลักการแห่งประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สมดังเจตนารมณ์ผู้ก่อตั้งธรรมศาสตร์
สุดท้ายนี้ พวกเราศิษย์เก่าที่ธรรมศาสตร์สอนให้รักประชาชน รวมทั้งประชาชนผู้รักธรรมศาสตร์ที่ร่วมลงชื่อด้วยนี้ ขอเรียกร้องให้คณะผู้บริหารมหวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ทบทวนมติที่ไม่ให้ กลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุม ใช้พื้นที่ในวันที่ 19 กันยายนนี้เสียใหม่ ขอแสดงความนับถือในจิตวิญญาณธรรมศาสตร์