“แซนด์-ชยิกา” ชี้ 4 ข้อเรียกร้องนักเรียน สะท้อนความไม่เท่าเทียมในสังคมไทย

วันที่ 20 สิงหาคม 2563 ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ และหลานสาวของทักษิณและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2 อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความคิดเห็นต่อความเคลื่อนไหวของนักเรียน ซึ่งนำโดยกลุ่มนักเรียนเลว ที่หน้ากระทรวงศึกษาเมื่อวานนี้ (19 สิงหาคม 2563) ว่า
บทวิเคราะห์ 4 ข้อเรียกร้องนักเรียนสะท้อนปัญหาบ้านเมืองจากผลพวงรัฐประหาร กับคำถามว่าเราจะสร้างให้อนาคตของชาติเป็นแบบไหน
.
จากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ 19 สิงหาคม 2563 ที่นักเรียนร่วมชุมนุม เพื่อยื่น 4 ข้อเรียกร้องให้เร่งแก้ปัญหา ดิฉันมองว่า เป็นการสะท้อนปัญหาระบบการศึกษาไทย ที่เป็นฐานสำคัญในการสร้างอนาคตของประเทศอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ
.
1. ข้อเรียกร้องเรื่องการจำกัดสิทธิเรื่องทรงผมและการแต่งกาย สะท้อนให้เห็นว่าการศึกษาไทยมุ่งเน้นไปที่การสร้าง “ความสมานฉันท์หรือสร้างความเหมือน” (Conformity) ให้กับนักเรียน นักศึกษา ในหลายประเทศที่พัฒนาแล้วมองว่าการจำกัดสิทธิเรื่องการแต่งกาย มีผลเสียต่อการส่งเสริมเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกความเป็นปัจเจกของแต่ละบุคคล หากเยาวชนถูกปิดกั้นไม่ให้มี “ความคิดสร้างสรรค์” ซึ่งเป็น “ต้นทุน” สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ให้กับประเทศ ทรัพยากรบุคคลของประเทศจะขาดความคิด ไม่สามารถสร้างสินค้าและบริการ ที่น่าสนใจและมีมูลค่าในอนาคตได้
.
2. ข้อเรียกร้องเรื่องครู – แสดงให้เห็นว่ากลุ่มนักเรียนมีข้อสงสัยในบุคลากรผู้สอนและบทเรียน ซึ่งระบบการศึกษาไทยไม่ค่อยส่งเสริมให้นักเรียนตั้งคำถาม และมักจะถูกลงโทษจากการตั้งคำถามหรือเสนอความคิดเห็นที่แตกต่าง ระบบการศึกษาที่ดี ควรเปิดรับฟังความคิดเห็นของนักเรียน ให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง (Student Centric) เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้ส่งเสริมกระบวนการคิดของเยาวชน การสอนให้เยาวชนเชื่อฟังโดยไม่ตั้งคำถามจะฉุดรั้งให้พวกเขาเป็นทรัพยากรบุคคลที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ไม่สามารถเรียนรู้ที่จะทำงาน สร้างอาชีพ สร้างแนวคิด ธุรกิจ ไอเดียใหม่ๆ ได้ด้วยตัวเอง
.
3. ข้อเรียกร้องเรื่องการจำกัดสิทธิและการคุกคามนักเรียนในการแสดงออกทางความคิดเห็นทางการเมือง – สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขามีความคิด มีศักยภาพ รู้ถึงต้นตอของปัญหาการเมืองไทย รวมถึงความแตกแยกที่เกิดจากการรัฐประหาร สามารถระบุปัญหาใหญ่ๆของสังคมไทย และแนวทางแก้ไขปัญหาเหล่านั้นผ่านกระบวนการคิดด้วยตัวเองได้ ระบบการศึกษาไทยวันนี้จึงควรส่งเสริมให้เยาวชนสามารถแสดงออกทางความคิดเห็นที่สร้างสรรค์อย่างปลอดภัย ยุติความรุนแรง คุกคามในทุกรูปแบบต่อนักเรียนที่แสดงความคิดทางการเมือง รวมไปถึงการคุมคามด้วยการจับกุมเยาวชน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา ที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างเป็นการใช้อำนาจรัฐที่เกินกว่าเหตุ (abuse of power) เพื่อปิดปากประชาชน
.
4. ข้อเรียกร้องเรื่องการปรับระบบแนวคิดเรื่องเพศในหนังสือสุขศึกษา สะท้อนให้เห็นว่าระบบการศึกษาของไทยกำลังถดถอยในเรื่องการสร้างความเท่าเทียมทางเพศอย่างสิ้นเชิง โดยยกตัวอย่างในการปราศรัยว่า “กฎของโรงเรียนระบุให้นักเรียนหญิงใส่เสื้อทับให้มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนชายละเมิด แต่ไม่ได้บอกนักเรียนชายว่าห้ามละเมิดนักเรียนหญิง” แสดงให้เห็นว่า การศึกษาไทยกำลังสร้างกระบวนการขัดเกลาทางสังคมว่า ความรุนแรงทางเพศเกิดขึ้นเพราะมีสาเหตุมาจากผู้หญิงปฏิบัติตัวไม่ดี ทำให้ผู้หญิงด้อยคุณค่า สวนทางกับที่นานาอารยประเทศทั่วโลกที่รณรงค์ให้หญิงหรือชาย มีคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน การแต่งกายเป็นเสรีภาพในการแสดงออกของทุกคน และความรุนแรงทางเพศจะหมดไปได้ต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องเหล่านี้ทุกเพศทุกวัย ระบบการศึกษาไทยควรยอมรับและเข้าใจวิวัฒนาการทางสังคมยุคปัจจุบันเรื่องความหลากหลายทางเพศอย่างเปิดใจกว้างขึ้นอีกด้วย
.
ข้อเรียกร้องทั้งหมด มีสาเหตุหลักมาจาก “ความไม่เท่าเทียม” อันเป็นผลพวงของปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทุกที่ รวมถึงในขอบรั้วของโรงเรียน สถานที่บ่มเพาะวิชาความรู้ให้แก่อนาคตของชาติ ที่ได้สะท้อนเสียงออกมาดังๆ ให้ได้ยินแล้วว่า “Our first dictatorship is school” หรือ โรงเรียนคือเผด็จการแห่งแรกของพวกเรา
.
เราคงต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า อยากสร้างอนาคตให้ลูกหลานเราเป็นแบบไหน ถ้าระบบการศึกษาไทยเปิดรับความเห็นต่าง ให้อิสระเสรีภาพทางความคิด เราจะได้เยาวชนที่โตขึ้นมาเป็นทรัพยากรบุคคลของชาติที่มีความคิด สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับประเทศ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ หรือเราต้องสร้างเยาวชนให้กลายเป็นลูกที่ไม่รู้จักโตเท่านั้น
.

https://www.facebook.com/Sand.Chayika/posts/3340195139359927