กัมพูชาเปิดทางหลวงทุนจีน หวังเชื่อมการค้า-ท่องเที่ยวในภูมิภาค

บันทายมีชัย, 27 ก.พ. (ซินหัว) — ทางหลวงหมายเลข 58 ของกัมพูชาที่ก่อสร้างโดยได้รับการสนับสนุนเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนจากจีน เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 ก.พ. ในพิธีเปิดที่จัดขึ้น ณ เมืองปอยเปต จังหวัดบันทายมีชัย (Banteay Meanchey)

สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวในพิธีเปิดว่า ถนนสายนี้ไม่เพียงส่งเสริมการเชื่อมต่อภายในกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังเชื่อมต่อกับจังหวัดของประเทศไทยที่อยู่ใกล้เคียง นับว่ามีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการส่งเสริมการพัฒนาการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างกัมพูชาและไทย
ทางหลวงหมายเลข 58 ของกัมพูชาสร้างโดยบริษัทเซี่ยงไฮ้คอนสตรักชันกรุ๊ปของจีน (Shanghai Construction Group) มีความยาวรวม 174 กิโลเมตร เชื่อมโยง 2 จังหวัดทางตะวันตกเฉียงเหนือของกัมพูชา ได้แก่ บันทายมีชัยและอุดรมีชัยภายในพิธีเปิด มีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงและประชาชนชาวกัมพูชาเข้าร่วมกว่าหมื่นคน รวมถึงหวังเหวินเทียน เอกอัครราชทูตจีนประจำกัมพูชา

นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ปราศรัยเกี่ยวกับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์รอบด้านระหว่างกัมพูชาและจีน โดยกล่าวว่า ที่ผ่านมาจีนได้สร้างถนนให้กัมพูชาความยาวรวมกว่า 3,000 กิโลเมตร สร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงขนาดใหญ่หลายแห่ง ทั้งยังให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ อย่างมากมาย เช่น การแพทย์และอนามัย ชลประทาน การศึกษา และทรัพยากรมนุษย์
เขายังย้ำว่า กัมพูชาและจีนจะขยายความร่วมมือในเชิงปฏิบัติและเอาชนะความยากลำบากในด้านต่างๆ บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและได้ประโยชน์ร่วมกัน และกัมพูชาสนับสนุนจีนในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 (Covid-19)

เขากล่าวว่า “กัมพูชาและจีนมีชะตาร่วมกัน ก่อนหน้านี้ผมไปเยี่ยมเยือนประเทศจีน เพื่อพิสูจน์ความมุ่งมั่นที่จะเคียงบ่าเคียงไหล่กับจีน เพื่อผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน”

ด้านหวังเหวินเทียนกล่าวว่า คุณลักษณะโดดเด่นที่สุดของมิตรภาพอันเก่าแก่ระหว่างจีนและกัมพูชา คือทั้ง 2 ฝ่ายคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แบ่งปันปัญหาและความยากลำบากร่วมกัน ในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนและกัมพูชาได้ร่วมดำเนินโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมากในฝั่งตะวันตกของกัมพูชา จนก่อเกิดเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลักของโครงข่ายในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมในภูมิภาค และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกัมพูชา รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่นอีกด้วย