‘วิษณุ’เผยครม.เห็นชอบตั้ง คกก.เฉพาะกิจ เยียวยาเหยื่อกราดยิงโคราช ตั้งเป้าชดเชยสูงสุด

‘วิษณุ’เผยครม.เห็นชอบตั้ง คกก.เฉพาะกิจ เยียวยาเหยื่อกราดยิงโคราช แย้มครั้งนี้รบ.ตั้งเป้าชดเชยสูงสุด

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเหตุการณ์โศกนาฏกรรมกราดยิงที่เทอร์มินอล 21 จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่า ตนคงไม่สามารถพูดได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนอะไรกับประเทศเราบ้าง อยากให้พวกเราวิเคราะห์กันเองว่าเป็นอย่างไร ซึ่งก็ยอมรับว่าเหตุการณ์นี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น และไม่เคยมีในหลายประเทศ บางประเทศอาจจะมีบ่อยที่เกิดเหตุในโรงเรียน ในวัด หรือในผับ แต่ในเมืองไทยไม่เคยมีขนาดนี้ ตนพูดได้แค่นี้ อย่างอื่นก็เห็นกันหมดทุกคนแล้ว ก็วิเคราะห์กันเอง อย่าเพิ่งไปพูดว่าเกิดจากระบบ หรืออะไร เพราะเราไม่รู้จริง ก็อย่าเพิ่งไปพูด

ผู้สื่อข่าวถามถึงเงินกองทุนสาธารณะ สามารถนำมาช่วยส่วนนี้ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เงินกองทุนนี้เป็นกองทุนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เป็นประธาน แต่ครม.ได้มีมติเมื่อวานนี้ (11 กุมภาพันธ์) ว่ากองทุนนี้อาจจะแคบไป จึงมีมติให้ตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมาใหม่กรณีที่โคราช โดยมีตนเป็นประธานจะดูว่ากรณีที่เป็นตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ จะได้รับการช่วยเหลือเยียวยาอย่างไร หรือกรณีเป็นราษฎรประสบเหตุ เช่น อุ้มลูก จูงหลานไปเดินห้าง เราจะช่วยเหลืออย่างไร จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มตามที่ระบุ โดยกรณีเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ ทหาร พลเรือน ถ้าเสียชีวิต เราจะช่วยเหลืออย่างไร ถ้าบาดเจ็บสาหัสช่วยเหลืออย่างไร และถ้าบาดเจ็บแต่ไม่สาหัสจะช่วยเหลืออย่างไร และ 4. สุขภาพจิต บางทีเขาไม่บาดเจ็บแต่เสียขวัญ ขวัญหนีดีฟ่อหรือบาดเจ็บนิดเดียว แต่มีปัญหาสุขภาพจิต ก็ต้องมาดูว่าจะดูแลอย่างไร ส่วนกรณีที่เป็นราษฎรนั้น เราจะดูแลในแบบเดียวกันทั้งกรณี เสียชีวิต บาดเจ็บสาหัส บาดเจ็บไม่สาหัส และสุขภาพจิต รวมถึงต้องดูเรื่องทรัพย์สินที่เสียหาย ที่ผ่านมา ไม่เคยมีระเบียบเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินมาก่อน ก็ต้องมาดู

เมื่อถามว่า เราต้องกันเงินไว้มากเพียงใด หรือจะเอาตามความเป็นจริง นายวิษณุ กล่าวว่า เราต้องมาดูก่อนว่า เป้าหมายที่เราจะช่วยเหลือมีมากน้อยแค่ไหน เกณฑ์ในอดีตเป็นอย่างไร ในอดีตมีรัฐบาลบางชุดตั้งเกณฑ์ช่วยเหลือไว้สูงกับกรณีแบบนี้ ช่วยรายละ 7 ล้านบาท เรื่องนี้คดียังอยู่ใน ป.ป.ช. ยังไม่จบเลย ตอนหลังก็มีการแก้ไขเรื่องนี้ ก็ต้องรอดูต่อไปว่าจะช่วยเหลืออย่างไร

นายวิษณุ กล่าว่า การช่วยเหลือนั้นมีอยู่ กฎหมายมีอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ 2 ฉบับ คือ 1.กฎหมายเกี่ยวกับสงเคราะห์ผู้ประสบภัย ของกระทรวงการคลัง แต่ก็ให้ไม่มาก และ 2. กฎหมายที่เกี่ยวกับผู้เสียหายของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งช่วยเหลือไม่มากเช่นกัน แต่เมื่อเอา 2 ส่วนรวมกันก็จะมากหน่อย นอกจากนี้ ยังมีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยสาธารณะภัย ซึ่งครอบคลุมกรณีที่เกิดขึ้น และยังมีระเบียบของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หนักไปทางเอากระเช้าไปให้ เอาจิตแพทย์ไปเยี่ยมไปตรวจสุขภาพให้ทุกเดือน แต่ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ จะมีของเขาต่างหาก ทั้งตำรวจ ทหาร ซึ่งกรณีเสียชีวิต จะรับเงิน 7 เท่าของเงินเดือน ได้รับการเลื่อนยศ และรับบุตรคนหนึ่งเข้ารับทำงานในหน่วยงานนั้นโดยไม่มีเงื่อนไข โดยในที่ประชุมครม.คิดกันว่า พอเกิดเหตุที่ข้าราชการและราษฎรก็ตาย พ่อค้าแม่ค้าก็ตาย มันก็ควรมีการเปรียบเทียบให้สมน้ำสมเนื้อกันพอสมควร ดังนั้น จึงต้องตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวขึ้นมา

 

เมื่อถามว่า วงเงิน 1 ล้านบาทสำหรับกรณีนี้ จะเทียบได้กับเหตุการณ์ที่มีผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมที่ราชประสงค์หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เมื่อคราวราชประสงค์เราให้คนไทย 1 ล้านเนื่องจากเราไม่มีอย่างอื่นให้ ซึ่งเงิน 1 ล้านบาท คนที่เสียชีวิตควรได้รับ แต่เราไม่ต้องไปสนใจว่าเงินนี้มาจากไหน เพราะความจริงแล้ว มันอาจจะมาจากกองทุนต่างๆ รวมกันจนครบ 1 ล้าน

เมื่อถามว่า ครั้งนี้เท่าที่มีการพิจารณาจะได้สูงสุดต่อรายจำนวนเท่าไร นายวิษณุ กล่าวว่า ครั้งนี้เราก็ตั้งใจจะให้สูงสุดเท่าที่สามารถให้ได้ตามระเบียบ โดยนำเงินทุกก้อนมารวมกัน แต่ไม่นับรวมของหน่วยงานหรือองค์กรอื่นๆ เช่น ธนาคารกรุงไทย ที่จะช่วยผู้รับผลกระทบที่เป็นลูกค้าธนาคาร เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เงินในส่วนของรัฐที่จะนำไปช่วย มาจาก งบประมาณ เงินกองทุน และเงินบริจาค และทราบมาว่า ปลัดกระทรวงการคลังแจ้งว่า มีรัฐวิสาหกิจรวบรวมเงินได้หลายล้านเพื่อมอบเป็นกรณีพิเศษ แต่เราไม่อยากเอาเงินส่วนนี้มารวมกับกองทุน กลัวติดปัญหาเรื่องเอาเงินออก อาจจะต้องตั้งเป็นระเบียบใหม่ ส่วนขั้นตอนจ่ายเงินเยียวยาต้องเร่งรัดให้เร็วขึ้น โดยคณะกรรมการชุดนี้ทำงานไม่กี่วันก็คงจบภารกิจ แต่หลังจากนี้ อาจต้องไปปรับปรุงระเบียบสำหรับกรณีต่อไปในอนาคต มันน่าจะเริ่มเป็นมาตรฐานแล้ว ให้มันครอบคลุมหลายๆ ด้าน เช่น ครอบคลุมถึงธุรกิจการค้าต่างๆ