จับตายุบพรรคฉุดดัชนีหุ้นไทยหล่นแตะระดับ 1,500 จุดอีกรอบ

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยตั้งแต่สัปดาห์นี้ถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ประเมินว่าดัชนีหุ้นยังปรับตัวขึ้นไปได้ไม่ไกลเท่าที่ควร สาเหตุจากปัจจัยกระทบลบยังคลี่คลาย โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019 ที่เป็นประเด็นหลักในการสร้างความกังวลให้กับตลาดรวมสูงมาก และมองว่าสัปดาห์ถัดไปโคโรนาไวรัสก็คงยังไม่สามารถจบลงได้ บวกกับในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้มีประเด็นการเมืองเฉพาะของประเทศไทย ที่ต้องติดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในการพิจารณายุบพรรคอนาคตใหม่ ว่าคำตัดสินจะออกมาอย่างไร โดยประเด็นการเมืองไทย ประเมินว่าเป็นประเด็นระยะสั้น แต่ก็คงทำให้ดัชนีปรับขึ้นได้ไม่ดีเท่าที่ควร

“ ปัจจัยการเมืองไทย ต่อให้ไม่มีเรื่องความไม่แน่นอนออกมา แต่ปัจจัยถัดไปต้องเจอแรงกดดันของตัวเลขเศรษฐกิจ และผลประกอบการด้านต่างๆ เป็นตัวกดดันดัชนีเหมือนเดิม หากมองภาพต่อเนื่องจากนี้ถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ จะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของไทย ที่มองว่าคงออกมาแย่มาก รวมถึงช่วงถัดไปจะมีการประการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย(บจ.) ที่คาดว่าคงออกมาไม่ดีเหมือนกัน หากจะมีประเด็นบวกคงมีแค่เรื่องเดียวคือการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และได้ทยอยเปิดเผยรายละเอียดเบื้องต้นมาบ้างแล้ว ซึ่งดูแล้วคงไม่ได้สร้างผลบวกมากนัก ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยดูแล้วยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน และปัจจัยเดิมๆยังมีน้ำหนักคอยกดดันอยู่ คาดว่ามีโอกาสดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงแตะระดับ 1,500 จุดอีกครั้ง จากดัชนีอยู่ระดับนี้ในต้นเดือนกุมภาพันธ์และขยับขึ้นต่อเนื่องจนปิดที่ 1,535.24 จุดในการปิดทำการวันศุกร์ 7 กุมภาพันธ์” นายกวี กล่าว

นายกวี กล่าวว่า ปัจจัยต่างประเทศ ตัวเลขด้านต่างๆที่เป็นปัจจัยบวก ที่ออกมาดีจะอยู่ในโซนยุโรปและสหรัฐมากกว่าตัวเลขของจีนคาดว่าออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้พอนำตัวเลขของต่างประเทศมาเฉลี่ยน้ำหนักแล้ว ภาพรวมไม่ได้ส่งผลดีต่อประเทศไทยมากนัก โดยการที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐดีอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้ส่งผลดีมากนัก เนื่องจากจะทำให้สหรัฐลดดอกเบี้ยได้ยาก แต่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียต้องการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากได้รับผลกระทบของโรคระบาด แต่เมื่อสหรัฐไม่ลดดอกเบี้ยลง ประเทศอื่นลดลงได้ยาก ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจทำได้ยากขึ้นตามไปด้วย

นายกวี กล่าวว่า หากเทียบตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคเดียวกัน ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ถือว่ามีความแข็งแกร่งแล้วในด้านการเติบโต เพราะตอนนี้ตลาดหุ้นของประเทศที่พัฒนาแล้วกลับมามีความน่าสนใจมากกว่าอีกครั้ง อาทิ ตลาดหุ้นในยุโรป ตลาดหุ้นสหรัฐ ทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่มีความน่าสนใจน้อยลง แม้ยังมีการเติบโตได้อยู่ แต่ปัจจัยกระทบที่เข้ามาต่อเนื่อง ทำให้ความแข็งแกร่งและความน่าสนใจหายไป สำหรับกลยุทธ์แนะนำคือให้ระมัดระวังในการเข้าลงทุนในหุ้นมากที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงอาจเกิดขึ้น