ศาลนัดพร้อม’อ๋อย’คดีขัดคำสั่ง คสช.ยุยงปลุกปั่นปชช.ต้านคสช. 5พ.ย.นัดสืบพยานโจทก์แรก

ศาลนัดพร้อม’อ๋อย’คดีขัดคำสั่ง คสช.ยุยงปลุกปั่นปชช.ต้านคสช. 5พ.ย.นัดสืบพยานโจทก์แรก ระบุคดีติดศาลทหาร5ปีไม่คืบ ชี้คสช.ใช้เชือดไก่ให้ลิงดู ป้องคนเห็นต่าง พร้อมนำคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุดชี้ คสช. ดำเนินคดีไม่ชอบด้วยกม.อย่างร้ายแรง

เมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่ห้องพิจารณา 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดพร้อมคู่ความคดีดำ อ.3055/62ที่พนักงานอัยการคดีอาญา9 เป็นโจทก์ฟ้อง นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ อดีตแกนนำพรรคเพื่อไทยเป็นจำเลยในความผิดฐานฝ่าฝืน ขัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ฉบับที่37/2557,พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14(3)

กรณีวันที่ 27 พ.ค.57 จำเลยได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนทั้งต่อต้านการเข้าควบคุมอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ( คสช.) โดยให้ประชาชนเห็นว่า การเข้าควบคุมอำนาจของคสช. เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง และคำสั่งหรือประกาศ คสช.ก็ไม่ถูกต้องตามกฎหมายฯทำให้ประชาชน

การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำเพื่อให้ประชาชนทั่วไปต่อต้านการคุมอำนาจของคสช. เป็นการยั่วยุปลุกปั่นทำลายความน่าเชื่อถือของคณะ คสช.เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่องถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ,368,91 พ.ร.บ.เกี่ยวกับการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอรฯ พ.ศ.2550 มาตรา14

โดยวันนี้ นายจาตุรนต์ เดินทางมาศาลพร้อมด้วย นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นทนายความให้จำเลย

เมื่อถึงเวลานัดอัยการโจทก์และทนายความจำเลยแถลงว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่มีข้อเท็จจริงที่ใดสามารถรับกันได้ โดยอัยการโจทก์จะขอดำเนินการสืบพยานต่อจากพยานเดิมที่เบิกความไว้กับศาลทหารแล้วจำนวน 2 ปาก โดยยื่นระบุบัญชีพยานที่จะนำสืบ เช่น เจ้าพนักงานตำรวจที่ตรวจสอบการแถลงข่าวของจำเลย,เจ้าหน้าที่แปลภาษา เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อความแถลงข่าวที่โพสต์ลงในเฟซบุ๊กและพนักงานสอบสวน จำนวนทั้งหมด 18 ปาก ใช้เวลา 10 นัด ขณะที่ฝ่ายจำเลยแถลงขอนำพยานเข้าสืบหักล้าง ประกอบด้วย นายจาตุรนต์ จำเลยที่ได้อ้างตนเองเป็นพยานปากแรก ,นักวิชาการที่ให้ความเห็นทางข้อกฎหมาย ความเห็นด้านความมั่นคง ความเห็นทางการเมืองในขณะนั้น และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อความที่โพสต์ในเฟซบุ๊ก จำนวนทั้งหมด 16 ปาก ใช้เวลา 10 นัด ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตโดยนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกวันที่ 5 พ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า วันนี้ศาลได้กำหนดวันนัดสืบพยานและให้พิจารณาคดีต่อเนื่อง สำหรับคดีนี้ใช้เวลาพิจารณาจากศาลทหารมาแล้วกว่า 5 ปี โดยมีการสืบพยานโจทก์ไปแล้ว 2ปากเท่านั้น หลังจากนี้จะมีการยื่นคำร้องเพื่อขอใช้สิทธิ์ขอความเป็นธรรมในฐานะจำเลย ชี้แจงถึงความเป็นมาของคดีนี้ว่า คดีที่ตนโดนไม่ใช่คดีปกติ เพราะการที่ตนโดนฟ้องคดีขึ้นศาลทหาร ไม่ได้เกิดจากการที่ คสช.เห็นตนกระทำความผิดจึงมีการตั้งข้อหา แต่ทางทหารและคสช.ต้องการที่จะนำตัวตนขึ้นศาลทหาร จึงตั้งข้อหาทั้งที่ คสช.ก็เห็นว่าตนไม่ได้กระทำผิด โดยในการพิจารณาคดีที่ผ่านมาก็ไม่ปรากฏหลักฐานใดที่เห็นได้ว่าข้อความที่ตนแถลงข่าวผิดกฎหมายอย่างไร ทั้งที่ใช้เวลามา5ปีแล้ว ซึ่งการดำเนินคดีนี้เป็นการทำให้ตนลำบากเดือดร้อน เพื่อไม่ให้ตนเสนอความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจาก คสช.และรัฐบาล โดยมีการระงับธุรกรรมทางการเงินเกือบ5ปี พร้อมห้ามตนเดินทางออกนอกประเทศ และยกเลิกพาสปอร์ตของตน3ปี ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองสูงสุดเคยวินิจฉัยไว้แล้วว่าการกระทำดังกล่าว ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรมต่อตนอย่างร้ายแรง การกระทำดังกล่าวเป็นการข่มขู่เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อไม่ให้คนที่เห็นต่างไม่กล้าแสดงความเห็น คดีนี้จึงไม่เป็นเหตุผลใดๆทั้งสิ้นที่จะดำเนินคดีในศาลทหาร แต่เมื่อมาดำเนินคดีในศาลยุติธรรมตนจึงเห็นควรร้องขอความเป็นธรรม แจ้งถึงความเป็นมาของคดีให้ทั้งศาลและอัยการได้รับทราบ ถ้าตามปกติวิญญูชนผู้มีความรู้ทางกฎหมายได้พิจารณา จะเห็นว่าคดีนี้จะไม่สามารถมาถึงศาลอาญาได้เลย แต่ที่มาถึงได้นั้นเพราะคดีนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปิดปากตนโดยผ่านศาลทหาร แต่เมื่อประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น คดีของตนก็ไม่สามารถดำเนินในศาลทหารได้เพราะอารยประเทศไม่ยอมรับ เนื่องจากไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม การโอนคดีมาศาลยุติธรรมจึงเป็นเรื่องที่มีเหตุพิเศษ เนื่องจากศาลอาญาจะให้ความยุติธรรมได้มากกว่า สำหรับการที่ตนเรียกร้องให้ประชาชนอดทน เรียกร้องให้เป็นประชาธิปไตย ให้มีการเลือกตั้ง เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องผิดกฎหมายไม่ได้อยู่แล้ว โดยนายทหารติดตามตนไปที่ สน. ก็ได้บอกต่อหน้าตำรวจว่า ตนไม่ได้ทำผิด แต่ผู้ใหญ่ต้องการมีการนำตัวตนขึ้นศาลทหาร