‘ผู้พิพากษาอาวุโส’ ออกโรงปรามฝ่ายการเมือง อย่านำกระเเสพระราชดำรัสให้กำลังใจรัฐบาลไปตีความ

“ผู้พิพากษาอาวุโส” ออกโรงปรามฝ่ายการเมืองอย่านำกระเเสพระราชดำรัสให้กำลังใจรัฐบาลไปตีความเป็นพระบรมราชวินิจฉัย โยงเกี่ยวกระบวนการยุติธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังวินิจฉัยอยู่ ชี้เป็นพระราชอำนาจให้คำเเนะนำให้กำลังใจ เพื่อประโยชน์ชาติบ้านเมืองตามโบราณราชประเพณีที่ทรงปฏิบัติมานาน

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม นายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ ได้ให้ความเห็นทางวิชาการกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 ว่า กระบวนการยุติธรรมมีหลายระดับอันได้แก่กระบวนการยุติธรรมของเอกชนเช่น ประชาชนกับประชาชนมีข้อพิพาทในทางแพ่ง ในทางแรงงานในทางนิติกรรมสัญญาในทางข้อขัดแย้งคดีผู้บริโภคคดีพาณิชย์ คดีภาษีอากร และคดีต่างๆ ในทางแพ่งก็จะใช้กระบวนการพิจารณาที่มีเฉพาะ ในส่วนคดีอาญาก็เป็นเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาหรือที่เรียกว่ากฎหมายมหาชนเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ประกอบด้วยศีลธรรมอันดี และการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อข้อบัญญัติข้อห้ามทางกฎหมายที่มีบทบัญญัติลงโทษในทางอาญา ก็จะมีวิธีพิจารณาในทางอาญาเป็นบทกฎหมายที่ใช้ระงับข้อพิพาทในทางอาญา

เเต่สำหรับข้อพิพาทในคดีที่ใช้กฎหมายมหาชนโดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎกติกาที่ใช้บังคับในการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ระบุถึงวิธีการใช้อำนาจการแบ่งแยกอำนาจ และ การเข้าสู่ตำแหน่งของผู้ใช้อำนาจฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการและฝ่ายนิติบัญญัติเป็นต้น หากมีความขัดแย้งความไม่เห็นตรงกัน หรือการตีความขัดกันในกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ก็ยังมีกลไกและวิธี ระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับกฎหมายมหาชน เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญโดยผ่านทางองค์กรต่างๆ ที่จะวินิจฉัยและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งถือว่าเป็นศาลที่ตั้งขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาท เกี่ยวกับกฎกฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดและต้องยุติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น เช่น การที่ผู้ตรวจการแผ่นดินรับเรื่องเกี่ยวกับการถวายสัตย์ปฏิญาณของนายกรัฐมนตรีต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ และมีผลอย่างไร เช่นนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็มีหน้าที่ในการรับวินิจฉัยคดีดังกล่าว กรณีเช่นนี้ก็ถือเป็นกระบวนการยุติธรรมในชั้นความขัดแย้งเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งมีกฎกติกาและวิธีพิจารณาความ เกี่ยวกับคดีรัฐธรรมนูญนี้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง กลไกต่างๆ ในการดำเนินกระบวนการยุติธรรมเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญนี้ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ถือว่าเป็นกระบวนการยุติธรรม ซึ่งถือว่าถูกต้องและยุติธรรม

ซึ่งกระบวนการยุติธรรมเช่นนี้ก็เป็นไปตามมาตรฐานของประเทศ ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยหรือ ที่มีระบบการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อ ขจัดข้อขัดแย้งและความเห็นที่แตกต่างกันในทางการเมืองเพื่อให้เรื่องที่ขัดแย้งนี้ยุติกันอย่างสันติวิธี เรื่องเช่นนี้ มิใช่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องที่น่าตกใจแต่อย่างไรเพราะอารยประเทศและนานาประเทศก็ใช้กระบวนการยุติธรรมเช่นนี้อย่างเดียวกัน

สำหรับเรื่องการที่คณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯเพื่อรับฟังพระราชกระแสของในหลวงในที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องที่ พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจในการให้คำแนะนำ ฝ่ายบริหารให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างไรที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ ในฐานะองค์พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญของประเทศไทยซึ่งถือว่าพระมหากษัตริย์มิได้อยู่เหนือกฎหมายเเละรัฐธรรมนูญและทรงไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอยู่เเล้ว ดังนั้น จึงไม่เป็นการบังควรที่จะนำเรื่องนี้ไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยต่อไป เพราะถือเป็นคนละเรื่องกัน ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะเสนอข่าวในลักษณะ คาดเดาหรือคิดเอาเองว่าเรื่องจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้เเละไม่เป็นการอันควรที่จะนำเรื่อง การที่ พระมหากษัตริย์พระราชทานคำแนะนำแก่ฝ่ายบริหารมาปะปนกับเรื่องคดีเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญในเรื่องที่ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะประเทศประชาธิปไตยทั่วไปก็มีแนวทางและกระบวนการดำเนินไปซึ่งการเมืองการปกครองของประชาธิปไตยที่กระทำกันอยู่ทั่วโลก

การที่หลังจาก ครม.ถวายสัตย์ปฏิญาณแล้ว พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชดำรัสให้กำลังใจและแนะนำในการปฏิบัติหน้าที่ของ ครม.ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารนั้น นับว่าเป็นพระราชอํานาจของพระมหากษัตริย์ที่จะพระราชทานพระบรมราโชวาท ให้กำลังใจและแนะนำในการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายบริหารเพื่อเป็นประโยชน์ สุขแก่ประเทศชาติ บ้านเมืองและประชาชน ซึ่งถือเป็นพระราชประเพณีที่ทรงปฏิบัติเช่นนี้มาแทบทุกสมัย ทุกรัชกาล ในโอกาสที่ฝ่ายบริหาร หรือ ข้าราชการระดับสูง บางประเภทเช่น ศาล อัยการ เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ พระมหากษัตริย์ก็มีพระราชอำนาจในการอวยพรให้กำลังใจและแนะนำในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สุข แก่ประเทศชาติและประชาชน รวมถึงการที่ ครม. ชุดนี้เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ พระมหากษัตริย์พระราชทาน พระราชกระแสดำรัสไปครั้งนี้ก็เป็น โบราณราชประเพณีที่กระทำมาในหลายรัชกาลของพระมหากษัตริย์ไทยแทบทุกพระองค์ รวมทั้งการ เข้าเฝ้าฯเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณของคณะรัฐมนตรีในหลายๆ คราวที่ผ่านมา ก็มีพระราชกระแสเช่นนี้ ดังนั้นฝ่ายการเมืองและประชาชนจึงไม่บังควรที่จะนำเรื่องนี้ ไปยุ่งเกี่ยวหรือปะปนกับกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังจะมีขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกัน และไม่ควรจะนำไปตีความว่าพระองค์ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องวิธีการถวายสัตย์ปฏิญาณ เพราะพระองค์จะไม่ทรงเข้ายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้

“ส่วนกระบวนการยุติธรรมอันเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งเป็นกระบวนการยุติธรรมของกฎหมายรัฐธรรมนูญที่จะต้องไปดำเนินการ ผ่านศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีองค์กรอิสระ หรือสภานิติบัญญัติเป็นผู้ส่งเรื่องไปนั้น ก็เป็นกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีกฎกติกากำหนดไว้โดยชัดเจนและเรียบร้อย เป็นไปตามระบอบการเมืองการปกครองประชาธิปไตยสากลที่ปฏิบัติกันอยู่ในประเทศทั่วโลกกระบวนการนี้เรียกว่าดูโปรเซส(Due process) หรือ การปฏิบัติตามหลักนิติธรรม (Rule of law)ในประเทศที่ ใช้กฎหมายปกครองหรือที่เรียกว่านิติรัฐ (LegalState) คือประเทศที่ใช้กระบวนการยุติธรรม และมีกฎหมายเป็นหลักในการปกครองบ้านเมือง ที่ชัดเจน และเป็นบรรทัดฐาน ฝ่ายการเมืองก็ดีหรือประชาชนไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์และนำเรื่องดังกล่าว ไปคาดการณ์คาดคะเนหรือ พูดคุยเป็นข่าวลือในทางที่ไม่ดีหรือเสียหายเพราะสิ่งนี้ ไม่มีทางจะเกิดขึ้นในประเทศไทยซึ่งมีรัฐธรรมนูญและกฎกติกาในลักษณะของประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปยุ่งเกี่ยวปะปนกับ เรื่องความถูกผิด ของกระบวนการถวายสัตย์ปฏิญาณของ ครม.ชุดนี้และไม่ควรบังอาจไปถือเอาว่าพระมหากษัตริย์ได้มีพระบรมราชวินิจฉัยเกี่ยวกับความถูกผิดของการถวายสัตย์ปฏิญาณในครั้งนี้ด้วย” นายศรีอัมพรกล่าวย้ำ