นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมมีการสำรวจร้านค้าปลีกรายย่อย (โชห่วย) และร้านธงฟ้าทั่วประเทศ พบว่า ขณะนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 7% จากก่อนหน้านี้การเติบโตติดลบ 3-4% ทุกปี เนื่องจากได้รับผลดีจากการเข้าไปช่วยเหลือของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ทั้งกรม และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ทำให้ร้านค้ามีความเข้มแข็ง และสามารถดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น แต่ในจำนวนนี้ เป็นการเติบโตของร้านค้าในส่วนภูมิภาคเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ในเมืองอย่างกรุงเทพฯ ไม่ค่อยเติบโต เพราะผู้บริโภคมีทางเลือกในการเข้าไปซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก

นายวิชัยกล่าวว่า กรมจึงเห็นความสำคัญในการพัฒนาค้าปลีกทั่วไปของไทย จึงเดินหน้าสร้างความเข้มแข็งให้กับร้านธงฟ้าพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้เข้าไปช่วยปรับโฉมร้านค้าใหม่เป็นร้านค้า 4.0 โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการบริหารจัดการร้าน ทั้งระบบขายของหน้าร้าน (POS) การพัฒนาเป็นจุดรับชำระค่าสาธารณูปโภค ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ บัตรเครดิต เป็นต้น พัฒนาให้มีเว็บไซต์เป็นของตนเอง เพื่อเพิ่มการค้าขายออนไลน์ รวมถึงเป็นจุดกระจายสินค้าให้กับร้านค้าธงฟ้าอื่นๆในพื้นที่ใกล้เคียง โดยปลายเดือนสิงหาคมนี้ นำร่องเปิดตัวร้านค้าธงฟ้าโฉมใหม่ที่จังหวัดขอนแก่น 28 อำเภอ 28 แห่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตสินค้าและสถาบันการเงิน

“เป้าหมายกรมจะผลักดันให้มีร้านค้าธงฟ้า 4.0 ครบทุกจังหวัด อำเภอละ 1 แห่ง รวม 878 แห่งทั่วประเทศ มั่นใจว่าร้านค้าธงฟ้าที่ปรับโฉมใหม่ จะดึงดูดและจูงใจให้ประชาชนอยากเข้ามาใช้บริการ และเป็นแหล่งค้ายั่งยืนระดับท้องถิ่น “

นายวิชัย กล่าวว่า ร้านค้าธงฟ้าจะเข้าร่วมพัฒนาเป็นร้านค้า 4.0 กรมได้ประสานให้สถาบันการเงินเข้ามาช่วยปล่อยกู้ เพื่อให้มีเงินทุนในการพัฒนาร้าน ซื้อสินค้า โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) พร้อมที่จะเข้ามาช่วยค้ำประกันให้ และยังได้จัดกิจกรรมเชื่อมโยงการจำหน่ายสินค้า ทั้งข้ามจังหวัด ข้ามภาค โดยเปิดโอกาสให้ร้านธงฟ้าพบปะเจรจาจับคู่กับผู้ผลิต และเกษตรกร รวมทั้งประสานบริษัทขนส่งช่วยรับส่งสินค้าจากผู้ผลิตมายังร้านค้า เพื่อลดต้นทุน และทำให้ขายสินค้าได้ถูกลงด้วย

นายวิชัย กล่าวว่า ปัจจุบัน มีร้านค้าสมัครเข้าเป็นร้านธงฟ้ารวม 8.3 หมื่นแห่งทั่วประเทศ มีทั้งร้านค้าแบบติดตั้งเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) และแบบใช้แอพพลิเคชั่น “ถุงเงินประชารัฐ” โดยมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้าสู่ร้านค้าประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท นับตั้งแต่เดือนต.ค.2560 จนถึงเดือนส.ค.2562