“พิชัย” ห่วง “ประยุทธ์” ไม่รู้เรื่องจีนลดค่าเงินหยวนกระทบไทย แนะศึกษา 5 เรื่องก่อนพูดอะไรออกมา

วันที่ 8 สิงหาคม 2562 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลจะไม่เข้าใจผลกระทบจากการที่จีนลดค่าเงินหยวนอ่อนที่สุดในรอบ 11 ปี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอย่างมาก โดยเฉพาะการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย อีกทั้งธุรกิจคอนโคมิเนียมที่หวังขายตลาดจีนจะได้ผลกระทบอย่างหนัก จึงอยากให้พลเอกประยุทธ์เร่งศึกษาทำความเข้าใจและติดตามประเมินผลกระทบและหาทางรับมือกับสถานการณ์นี้

อีกทั้งต้องคำนึงว่าภาวะการผันผวนที่เกิดจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะเกิดขึ้นต่อไปอย่างต่อเนื่อง ทำอย่างไรไทยจะสามารถพัฒนาแนวคิดให้เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้เหมือนกับประเทศเวียดนาม

ทั้งนี้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลพลเอกประยุทธ์พยายามจะโทษสงครามการค้าว่าเป็นสาเหตุของเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ ทั้งที่ก่อนจะมีสงครามการค้า เศรษฐกิจไทยก็ย่ำแย่อยู่แล้วจากฝีมือของรัฐบาล และไม่เคยเห็นคนในรัฐบาลซักคนเคยพูดถึงการจะรับมือหรือแม้กระทั่งจะแสดงความเข้าใจว่าสงครามการค้านี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปอีกนานเพราะสหรัฐคงจะต้องการชะลอการเจริญของจีนไม่ให้แซงหน้าสหรัฐเร็วนัก ในขณะที่ประเทศเวียดนามได้วางรากฐานเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับสงครามการค้านี้อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ประเทศเวียดนามได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากสงครามการค้า การส่งออกและการลงทุนของเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจนแซงหน้าไทย และเวียดนามจะได้ประโยชน์จากสงครามการค้าเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ

ในขณะที่ไทยที่ได้แต่อ้างว่าสงครามการค้าเป็นอุปสรรคทำให้เศรษฐกิจไทยไม่ดี แต่ไม่ได้คิดจะรับมืออย่างไรหรืออาจจะคิดไม่เป็น จึงทำให้เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ และจะย่ำแย่ต่อไปอีกเรื่อยๆ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศอย่างเดียวเลย ที่ผู้นำจะตัองรู้เรื่องเศรษฐกิจอย่างแตกฉาน ไม่ใช่แค่พอรู้เรื่อง แบบที่พลเอกประยุทธ์ยอมรับเอง

ยังดีที่แบงค์ชาติยังพอไหวตัวทันและได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ซึ่งคงจะพอช่วยเศรษฐกิจไทยได้บ้างแต่อาจจะไม่มากนัก ทั้งนี้แบงค์ชาติควรลดดอกเบี้ยก่อนที่สหรัฐจะลดตามที่ได้เคยเสนอแนะไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งจะทำให้ได้ผลมากกว่า อยากให้คำนึงเสมอว่า นโยบายการเงินจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าและเร็วกว่านโยบายการคลัง ดังเช่น การลดค่าเงินหยวนของจีน และ การลดค่าเงินบาทของไทยในอดีต เป็นต้น ทั้งนี้เชื่อว่าค่าเงินบาทไทยรวมถึงสกุลเงินในภูมิภาคน่าจะต้องอ่อนค่าลงตามค่าเงินหยวน

อย่างไรก็ดี แม้จะมีเรื่องทางเศรษฐกิจอีกมากมายที่พลเอกประยุทธ์ จะต้องศึกษาทำความเข้าใจ แต่อยากให้พลเอกประยุทธ์ได้เร่งศีกษาก่อน 5 เรื่อง

1. พิจารณาการกระทำของตนเองในอดีตตลอด 5 ปีว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของประเทศอย่างไร แล้วเร่งแก้ไขปรับปรุงการกระทำของตัวเอง ถ้าคิดไม่ได้ก็จะแก้ไขไม่ได้ ที่สำคัญอย่าดื้อรั้น อย่าให้เหมือนกับความผิดพลาดในการถวายสัตย์ที่ดื้อรั้นว่าทำถูกต้องมาตลอดแต่สุดท้ายถึงมายอมรับว่าทำผิดพลาดจริง

2. การพัฒนาเศรษฐกิจสมัยใหม่ โดยเฉพาะการส่งเสริมธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีที่จะสร้างมูลค่าได้มากรัฐบาลจะต้องทำอย่างไรที่จะส่งเสริมให้เกิดขึ้นได้จริง การปิดกั้นความคิด และ การจำกัดเสรีภาพ ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ขนาด สส. ยิ้มกันในสภายังถูกต่อว่าหาว่าเยาะเย้ยนายกฯ จะเป็นอุปสรรคหรือไม่

3. ศึกษาและคาดการณ์ว่าสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน จะพัฒนาต่อไปอย่างไร อีกทั้งสถานการณ์ในฮ่องกงที่มีความสุ่มเสี่ยงสูง ประเทศไทยจะรับมืออย่างไรและทำอย่างไรประเทศไทยจะสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นได้

4. ผลกระทบจากสื่อหลักต่างประเทศหลายสำนักที่วิจารณ์ไทยอย่างหนักและเสียหายรุนแรง รัฐบาลจะแก้ไขปรับปรุงตัวเองอย่างไร การเอาแต่จะพูดแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆไม่ได้ช่วยให้ภาพพจน์ของประเทศไทยดีขึ้น ความมั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศจะไม่เกิดขึ้นถ้ารัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปรับปรุงตัวเองเพื่อทำให้สื่อหลักต่างประเทศยอมรับและเชื่อถือได้

5. ศึกษาแนวทางการพัฒนาของประเทศที่พัฒนาแบบก้าวหน้าว่า ผู้นำเขาต้องมีวิสัยทัศน์อย่างไร จะวางตำแหน่งของประเทศอย่างไร และด้วยวิธีการใด เพราะ 5 ปีมาแล้วที่ประชาชนยังไม่เห็นวิสัยทัศน์ของผู้นำเลย และ ไม่รู้เลยว่าต่อไปประเทศไทยจะอยู่ตรงไหนของโลก แค่แนวคิดการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือการแจกเงินอย่างเดียวไม่สามารถพัฒนาประเทศได้อย่างถาวร ขนาดในไตรมาสแรกปีนี้ รัฐบาลทั้งแจกทั้งแถม อีกทั้งยังมีเงินหมุนเวียนจำนวนมหาศาลจากการเลือกตั้ง เศรษฐกิจไทยยังโตได้แค่ 2.8% เท่านั้น

โดยทั้ง 5 เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่พลเอกประยุทธ์ต้องรีบศึกษา เร่งแก้ไขและรับมือ ส่วนความรู้เรื่องเศรษฐกิจอื่นๆ คงต้องใช้เวลาศึกษาอีกนานกว่าพลเอกประยุทธ์จะเข้าใจ โดยอยากแนะนำว่าหากไม่แน่ใจเรื่องใดว่าจะถูกต้องหรือไม่ ก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า คนจะได้ไม่ทราบว่าไม่รู้เรื่อง จะได้ไม่เสียเครดิตอีก เพราะขนาดหลายเรื่องที่นายสมคิดได้พูดคลาดเคลื่อนในสภายังถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก