ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 พฤศจิกายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | อาชญากรรม |
ผู้เขียน | อาชญา ข่าวสด |
เผยแพร่ |
เป็นเรื่องราวที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลาย
สำหรับเหตุหญิงสาวถูกสาดน้ำกรดขณะนอนหลับด้วยฝีมือของสามีหนุ่ม
ด้วยต้นเหตุจากพิษรักแรงหึง
ก่อนจะหอบร่างอันบอบช้ำทุรนทุราย พร้อมลูกสาววัย 12 ปี นั่งแท็กซี่ไปโรงพยาบาล
เมื่อถึงโรงพยาบาล ก็คาดหวังว่าจะได้รับการรักษา อย่างน้อยก็ใจชื้นว่าปลอดภัยในระดับหนึ่ง
แต่ด้วยการสื่อสารที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในวันเกิดเหตุ ทำให้หญิงสาวเคราะห์ร้ายต้องเดินทางไปอีกโรงพยาบาลที่มีสิทธิ์ประกันสังคม
และเมื่อถึงโรงพยาบาลแห่งที่ 2 ก็อาการหนัก ในที่สุดก็เสียชีวิต
กลายเป็นข้อถกเถียงว่ากรณีนี้คือการปฏิเสธการรักษาคนไข้หรือไม่
ตามด้วยการร้องเรียนให้กระทรวงสาธารณสุขตรวจสอบ
เพื่อให้เป็นมาตรฐานต่อไปในอนาคต
โวย รพ.ไม่รักษาสาวถูกสาดกรด
เหตุสลดครั้งนี้ปรากฏต่อความรับรู้ต่อสาธารณชน เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน เมื่อนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน เกิดกรณี น.ส.ช่อลัดดา ทาระวัน อายุ 38 ปี ถูกสามีคือนายคำตัน สีหนาท อายุ 50 ปี ทำร้ายด้วยการสาดน้ำกรดใส่ใบหน้าขณะนอนหลับ
จากนั้นญาติและลูกสาววัย 12 ปี ก็ช่วยกันพาไปส่งโรงพยาบาล โดยเรียกแท็กซี่ จุดมุ่งหมายคือไปโรงพยาบาลบางมด ที่เจ้าตัวมีสิทธิ์ประกันสังคมอยู่
แต่ระหว่างอยู่บนรถ โชเฟอร์แท็กซี่เห็นว่า น.ส.ช่อลัดดาอาการหนัก จึงพาส่งโรงพยาบาลพระราม 2 ที่อยู่ใกล้กว่า แต่เมื่อไปถึงกลับได้รับคำชี้แจงว่าให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลบางมด ที่มีสิทธิ์ประกันสังคม
เหยื่อน้ำกรดรายนี้พร้อมลูกสาวจึงต้องเรียกแท็กซี่เดินทางไปต่อ
สุดท้ายเมื่อถึงโรงพยาบาลบางมดก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา
โดยนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ สรุปสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากระบบหายใจไหลเวียนโลหิตล้มเหลว
เป็นเหตุให้นายอัจฉริยะรับเป็นทนายความช่วยเหลือในคดีนี้
ต่อมาวันที่ 11 พฤศจิกายน นายอัจริยะพร้อมญาติ น.ส.ช่อลัดดาก็แห่โลงศพมาประท้วงถึงโรงพยาบาลพระราม 2 จนกระทั่งเกิดวิวาทะกับ นพ.พีระ คณานวัตน์ ศัลยแพทย์ทั่วไป ซึ่งเป็นแพทย์เวรประจำวัน ถึงขั้นขู่ร้องเรียนให้ถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต
จากนั้นไปร้องเรียนกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้ตรวจสอบปมการไม่รับรักษาคนไข้ รวมทั้งในวันเวลาที่เกิดเหตุดังกล่าวมีแพทย์เวรปฏิบัติงานตามกฎหมายหรือไม่ และใครเป็นผู้วินิจฉัยว่า น.ส.ช่อลัดดาอยู่ในสภาพอาการไม่ร้ายแรง สามารถเดินทางไปยังโรงพยาบาลอื่นได้
นอกจากนี้ยังมีประเด็นว่า หากต้องส่งต่อ ทำไมถึงไม่ให้รถพยาบาลที่มีเครื่องมือดูแลไปส่งตัว แต่กลับให้เรียกแท็กซี่ไปเอง
ไม่เพียงแค่นั้น ยังยื่นหนังสือถึงเขตบางขุนเทียน ให้ตรวจสอบใบอนุญาตดัดแปลงอาคาร รวมทั้งตรวจสอบว่าการแยกผู้ป่วยประกันสังคมไปรับการรักษากับโรงพยาบาลในเครือ ถือเป็นความผิดปกติหรือไม่
เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบต่อไป
หมออ้างคนไข้ย้ายเอง
ขณะที่ พญ.วัลลภา ไชยมโรวงศ์ ผอ.โรงพยาบาลพระราม 2 และ นพ.พีระ ศัลยแพทย์ทั่วไปและที่ปรึกษาประจำโรงพยาบาลตั้งโต๊ะแถลงเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน เวลาประมาณ 05.00 น.
น.ส.ช่อลัดดาเข้ามาที่โรงพยาบาลในลักษณะเดินกึ่งวิ่งจากด้านล่างของโรงพยาบาล โดยเดินผ่านห้องฉุกเฉิน เนื่องจากไม่เคยมา จนพบเวรเปลชั้นใต้ดิน จึงพาคนไข้มาที่ห้องฉุกเฉิน
เมื่อมาถึงก็ร้องบอกพยาบาลว่าปวดแสบปวดร้อน พยาบาลจึงปฐมพยาบาล วัดความดันปกติ ชีพจรปกติ การหายใจปกติ ออกซิเจนในเลือดปกติ จากนั้นโทรศัพท์รายงาน นพ.พีระ แจ้งอาการและสัญญาณชีพให้ทราบ
ซึ่ง นพ.พีระสั่งให้ทำแผลคนไข้และรับไว้เป็นผู้ป่วยใน เพื่อให้ยาระงับปวดและสังเกตอาการ แต่คนไข้ปฏิเสธการรักษาเป็นผู้ป่วยใน และต้องการไปรักษาตามสิทธิ์ประกันสังคมที่โรงพยาบาลบางมด และยังขอเดินทางไปเอง
จึงโทรศัพท์แจ้งโรงพยาบาลบางมด แต่ติดต่อผู้ตรวจการณ์ของโรงพยาบาลบางมดไม่ได้ จึงขอสายคุยกับพยาบาลห้องฉุกเฉิน แจ้งว่ามีคนไข้จะไปจากโรงพยาบาล ยืนยันทำตามมาตรฐานโรงพยาบาลในการดูแลคนไข้ และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของคนไข้ในการสูญเสียครั้งนี้
ขณะที่ นพ.พีระระบุว่า ภาพจากวงจรปิดที่ส่งให้ สบส. เห็นคนไข้และลูกสาววิ่งตามมา ร้องขอความช่วยเหลือว่าปวดแสบปวดร้อนเหมือนถูกน้ำร้อน เจ้าหน้าที่ทำบัตรก็บอกให้ไปห้องฉุกเฉินได้เลย ส่วนเรื่องปฏิเสธการรักษา เป็นเรื่องที่พยาบาลพูดคุยกับคนไข้
“ตอนไปโรงพยาบาลบางมด เจ้าหน้าที่ก็เรียกรถแท็กซี่ให้ และยังให้เงินค่ารถไป 40 บาท ส่วนค่ารักษาก็ไม่ได้เก็บเงินสักบาท” นพ.พีระกล่าว
เป็นคำชี้แจงทางโรงพยาบาลพระราม 2
สบส.สั่งฟัน รพ.พระราม 2
ด้าน นพ.ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ระบุว่าจากการตรวจสอบวงจรปิด พบว่ามีการทำแผลจริง เพราะตอนผู้ป่วยออกจากห้องฉุกเฉินมีการพันผ้าพันแผลออกมาด้วย ส่วนเรื่องสัญญาณชีพ ความดันต่างๆ นั้นไม่ปรากฏในกล้องวงจรปิด ก็คงต้องดูผลการบันทึกของโรงพยาบาลร่วมด้วย
นอกจากนี้ยังได้ข้อมูลเรื่องของการส่งต่อว่า ตอนขามามีสภาพเป็นอย่างไร และก่อนออกไปมีสภาพอย่างไร เช่น ผู้ป่วยเดินมาตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ แล้วตอนกลับเป็นอย่างไร เดินกลับเอง ขึ้นแท็กซี่เองหรือไม่
ทั้งนี้ ได้ข้อมูลจากโรงพยาบาลแห่งที่ 2 แล้ว พบว่ามีข้อมูลที่แตกต่าง ขัดแย้งกัน ซึ่งต้องส่งข้อมูลให้กรรมการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลพระราม 2 มีความผิดแน่ๆ แล้ว คือ
1. กรณีที่โรงพยาบาลนำเอาที่จอดรถมาปรับปรุงดัดแปลงเป็นอาคารผู้ป่วยนอกโดยไม่ขออนุญาต จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541
2. สั่งลงโทษปรับในฐานทำความผิด พ.ร.บ.สถานพยาบาล แต่เป็นฐานความผิดที่ไม่ร้ายแรง
3. สั่งให้ปรับปรุงโรงพยาบาลในส่วนที่ไม่ตรงมาตรฐาน พ.ร.บ.สถานพยาบาล โดยได้ให้ระยะเวลาในการปรับปรุง 15 วัน หากยังไม่ดำเนินการจะเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งหากโดนเพิกถอนใบอนุญาตจะส่งผลให้โรงพยาบาลถูกปิด แต่ก็ยังไม่รุนแรงเท่ากับการสั่งปิดโรงพยาบาลเลย
4. ประเด็นที่ถือเป็นความผิดร้ายแรงใน พ.ร.บ.สถานพยาบาล ซึ่งจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่คณะกรรมการเพื่อพิจารณาความผิดในวันที่ 19 พฤศจิกายน
ลุ้นกันว่าผลการพิจารณาและบทลงโทษจะเป็นอย่างไร
จับผัวโหด-อ้างทำเพราะหึง
ขณะที่คดีความ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ท่าข้าม ได้ติดตามจับกุมตัวนายคำตัน สีหนาท อายุ 50 ปี สามีของ น.ส.ช่อลัดดาที่เป็นผู้ก่อเหตุ สามารถจับกุมได้ที่ อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ โดยนายคำตันหลบหนีไปอยู่กับเพื่อนหลังก่อเหตุ
โดยผลการสอบสวนทราบว่า เมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 9 พฤศจิกายน นายคำตันซึ่งมีอาชีพขับรถแท็กซี่ คบหาและอยู่กินกับ น.ส.ช่อลัดดานานกว่า 7 ปี ซึ่ง น.ส.ช่อลัดดามีอาชีพเป็นพนักงานที่ห้างสรรพสินค้าย่านบางแค
ภายหลังจากทำงานเสร็จก็กลับมาอยู่ที่ห้องพักชั้น 2 เลขที่ 122/6 ซอยบางขุนเทียนชายทะเล 6 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ นายคำตันนำน้ำกรดที่ซุกซ่อนไว้หลังห้องเทใส่แก้วกาแฟแล้วนำมาสาดเข้าที่ใบหน้าของ น.ส.ช่อลัดดา แล้วนำแก้วไปทิ้งไว้ที่ถังขยะในซอยเดียวกับห้องพัก ก่อนจะหลบหนีไปกบดานอยู่ที่บ้านเพื่อนที่ จ.นครสวรรค์
จากการสอบปากคำนายคำ ตันสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือ โดยเกิดจากความเจ็บแค้นเรื่องชู้สาว มีคนมาติดพัน จนทำให้ช่วงหลังทะเลาะกันบ่อยถึงขั้นรุนแรง จึงไปหาซื้อน้ำกรดที่ใช้สำหรับเชื่อมบัดกรีจากเพื่อน เมื่อ น.ส.ช่อลัดดากลับมาก็ใช้น้ำกรดสาดเข้าที่ใบหน้าจนบาดเจ็บและเสียชีวิตดังกล่าว โดยเตรียมการไว้ตั้งแต่ช่วงสงกรานต์แล้ว
จากนั้นเจ้าหน้าที่คุมตัวมาชี้ 3 จุด ประกอบด้วย 1.หอพักไม่มีชื่อ ภายในซอยบางขุนเทียนชายทะเล 6 เป็นจุดที่ใช้น้ำกรดสาดเข้าใบหน้า น.ส.ช่อลัดดาขณะนอนอยู่ 2.จุดที่ผู้ต้องหาเทน้ำกรดใส่แก้วกาแฟ หน้าห้องน้ำในห้องพักเพื่อเตรียมก่อเหตุ และ 3.จุดที่ผู้ต้องหานำแก้วกาแฟที่ใส่น้ำกรดมาทิ้งข้างบันไดทางขึ้น-ลงตึก
ก่อนคุมตัวส่งฝากขังศาล
เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป