วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ศาลสูงสุดเกาหลีใต้ได้ตัดสินให้การปฏิเสธเป็นทหารด้วยเหตุไม่ปฏิบัติกฎหมายที่ขัดต่อมโนธรรมสำนึกเป็นเหตุผลที่ยอมรับได้แล้ว นับเป็นหมุดหมายสำคัญต่อการต่อสู้บนศาลซึ่งส่งผลต่อคดีที่คั่งค้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ราว 930 กรณี โดยการตัดสินนี้ได้เปลี่ยนโฉมการลงโทษต่อบุคคลที่ไม่ยอมรับการเข้าไปเป็นทหารนานกว่า 5 ทศวรรษและเป็นจุดเปลี่ยนต่อทัศนคติในความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือที่ดีขึ้นอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ รัฐบัญญัติว่าด้วยการเป็นทหารของเกาหลีใต้ระบุว่า ผู้ใดปฏิเสธเข้ารับเกณฑ์ทหารโดยปราศจากเหตุผลที่ยอมรับได้ จะต้องถูกจำคุก 3 ปี ขึ้นไป ซึ่งจนถึงตอนนี้ มีคดีเกี่ยวกับละเมิดกฎหมายนี้และอยู่ในการพิจารณาของศาลถึง 930 คดี โดยมีเพียงคดีเดียวกรณีของมิชชั่นนารีอายุ 34 ปีของกลุ่มสักขีพยานพระยาโฮวา ที่คดีไปถึงศาลอุทธรณ์ จากตลอดการตัดสินในช่วงปี 1969 และปี 2004 ศาลสูงสุดเกาหลีใต้ยังคงตัดสินว่า ความเชื่อทางศาสนาหรือมโนธรรมสำนึกไม่ใช่เหตุผลอันยอมรับได้เพื่อปฏิเสธเข้าเป็นทหาร

สัญญาความเปลี่ยนแปลงนี้มีขึ้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ได้มีคำวินิจฉัยเมื่อมิถุนายนที่ผ่านว่ากฎหมายดังกล่าวไม่ได้ระบุทางเลือกเฉพาะในการเข้าเป็นทหารและไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญของประเทศ ส่งผลทำให้คดีที่อยู่ในศาลชั้นต้นเกี่ยวกับละเมิดกฎหมายด้วยเหตุมโนธรรมสำนึกนั้นถือให้พ้นจากความผิด

ด้านกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ กล่าวว่า ช่วงต้นปีนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนระยะเวลาเข้าเป็นทหารลง 2-3เดือน จนถึงปี 2022 จากเดิมที่เข้าประจำการ 21 เดือน ลดเหลือ 18 เดือน

ขณะที่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของเกาหลีใต้เผยว่า จากผลสำรวจชาย 527 คนที่ถึงเกณฑ์เป็นทหาร มี 38.8% เห็นควรให้ไปรับใช้ชาติในทางอื่น เช่น ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม งานสาธารณสุข ซึ่งถือว่าทำงานบริการภาครัฐตราบเท่าที่พวกเขาอยู่ในค่ายทหารช่วงประจำการ

ทั้งนี้ เกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือในทางเทคนิคถือว่าทั้งสองประเทศอยู่ในภาวะสงคราม เพราะสงครามจบลงด้วยการเซ็นสัญญาหยุดยิง และกฎหมายเกาหลีใต้ระบุว่าชายทุกคนต้องเข้ารับเกณฑ์เป็นทหาร อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของสองเกาหลีมีพัฒนาการที่ดีขึ้นทั้งเห็นชอบในการระงับการซ้อมรบ ถอนทุ่นกับระเบิดตามชายแดนเส้นขนาน 38 ที่เป็นเขตปลอดทหาร จึงส่งผลต่อทิศทางของระบบกองทัพในเกาหลีใต้อีกด้วย