คลังยันหนี้สาธารณะพุ่งแต่ไม่กระทบเศรษฐกิจไทย ชี้ก่อแบบมีคุณภาพ

วันที่ 11 ตุลาคม 2561 นายธีรัชย์ อัตนวานิช โฆษกสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยกรณีที่ยอดหนี้สาธารณะของไทยปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในเดือนส.ค. 2561 อยู่ที่ 6.67 ล้านล้านบาท คิดเป็น 41.32% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ว่า สบน. ขอยืนยันว่า หนี้สาธารณะจะมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น ไม่ได้มีความน่าเป็นห่วงต่อระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากการเป็นหนี้ของรัฐเพื่อนำไปใช้จ่ายในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ช่วยทำให้เศรษฐกิจขยายตัว เห็นได้จากยอดจีดีพีที่ผ่านมามีการเติบโตขึ้นสอดคล้องกับจำนวนหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น

“การบริหารหนี้สาธารณะยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี ซึ่งหนี้สาธารณะในระดับนี้ยังถือว่าค่อนข้างต่ำ และที่สำคัญไม่ควรมองว่าจำนวนหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง แต่สิ่งที่ สบน. ให้ความสำคัญมากกว่านั้น คือการก่อหนี้ที่มีคุณภาพของรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจ”

นายธีรัชย์ กล่าวว่า การก่อหนี้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจจะให้ความสำคัญกับคุณภาพหนี้และการใช้จ่าย การก่อหนี้ที่ดีคือต้องทำให้เกิดรายได้ในอนาคต และสร้างศักยภาพของประเทศ คน และองค์กรในระยะยาว ซึ่งการก่อหนี้ในเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลใช้นั้น ถือว่าเป็นการก่อหนี้ที่มีคุณภาพ ซึ่งในอนาคตจะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ในอดีตตั้งแต่ไทยประสบกับวิกฤตทางการเงิน จะพบว่ารายจ่ายด้านการลงทุนของภาครัฐมีตัวเลขที่ต่ำ ประกอบกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้นโยบายการลงทุนของรัฐบาลประสบปัญหาไม่ต่อเนื่อง ซึ่งการลงทุนในระดับที่ต่ำมากต่อเนื่องหลายปี ย่อมส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“หลังจากมีวิกฤตเศรษฐกิจ งบรายจ่ายลงทุนของเราลดลงตลอด นอกจากนี้ การเมืองที่มีความขัดแย้ง ก็ทำให้นโยบายการลงทุนระยะยาวมีปัญหา โดยมีสัดส่วนต่อจีดีพีของไทยต่ำมากไม่ถึง 5% ยิ่งปีไหนที่การเมืองขัดแย้งมากๆ จะเหลือแค่ 4% ต้นๆ ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการลงทุนจากภาครัฐ ถึง 10-15% ต่อจีดีพี ซึ่งของไทยต่ำกว่าถึงครึ่ง แต่ปัจจุบันรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่างบลงทุนตั้งแต่ปี 2557-2561 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตลอด”