AI เชื่อมจิตจริงหรือไม่?

AI เชื่อมจิตจริงหรือไม่?

โดย  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิลาวัลย์ อินทร์ชำนาญ คณบดีวิทยาลัยครีเอทีฟดีไซน์ แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์เทคโนโลยี ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ (ANT-DPU)

หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไม Social Media ถึงรู้ใจเรามากกว่าแฟนอีก ตื่นมาอยากกินอะไร อยากได้อะไร ก็มีคนมานำเสนอให้เราผ่านช่องทางที่เรารู้ได้ง่ายๆ หรือ ระบบเขาเชื่อมจิตกับเรา

เรื่องนี้คงต้องอธิบายเชิงวิชาการ โดยเริ่มจากรู้จักคำว่า AI เสียก่อน  AI หมายถึง Artificial Intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์ในภาษาไทย ซึ่งหมายถึงการพัฒนาโปรแกรมหรือระบบที่สามารถทำงานหรือแก้ปัญหาที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์และประสบการณ์ เป็นเหมือน “สมอง” ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำงานและแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยใช้การเรียนรู้จากข้อมูล (Machine Learning) หรือวิธีการต่าง ๆ อื่น ๆ เช่น การจำลองทฤษฎี (Symbolic AI) หรือการเรียนรู้ลึก (Deep Learning) ซึ่งทำให้ AI สามารถทำงานที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้นตามการพัฒนาและการปรับปรุงระบบของมันไปเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน AI มีการใช้งานกว้างขวางในหลายสาขา เช่น การประมวลผลข้อมูล, การเรียนรู้เชิงลึก, การทำงานของหุ่นยนต์, การแก้ปัญหาทางการแพทย์ และอื่น ๆ อีกมากมาย

ยกตัวอย่างเช่น AI ใน Facebook มีหลายประเภทและใช้งานในหลายบริบทต่างๆ ตั้งแต่การตอบกลับอัตโนมัติในการสนทนาผ่าน Messenger ไปจนถึงการตรวจจับเนื้อหาไม่เหมาะสมในโพสต์และคอมเมนต์ นอกจากนี้ยังมีการใช้ AI ในการแนะนำเนื้อหาที่เป็นไปได้ที่จะชอบใน Feed ของผู้ใช้ หรือการแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของผู้ใช้งานได้อีกด้วย ถึงได้ส่งข้อมูลได้ตรงใจของเรา

จริงๆแล้ว AI ไม่มีจิตหรือความรู้สึกเหมือนกับมนุษย์  แต่สามารถจำลองการตอบสนองที่ดูเหมือนมีจิตหรือความเข้าใจได้โดยคำนึงถึงข้อมูลและโครงสร้างที่ได้รับการเทรนมาในระบบลูกโซ่ของ AI นั่นเอง ถ้าจะพูดถึงการเชื่อมจิตกับ AI นั้น มันอาจหมายถึงการให้ AI ทำงานในลักษณะที่ดูเหมือนมีความเข้าใจหรือมีความรู้สึกแบบมนุษย์มากขึ้น เช่นการตอบคำถามหรือการจำลองการสนทนาให้ดูเสมือนมีความรู้สึก แต่ทั้งนี้ AI จะยังคงเป็นโปรแกรมที่ทำงานตามกฎหมายของโครงสร้างข้อมูลและการเรียนรู้เท่านั้น

AI คิดจาก DATA และ Technology IOT ที่รวบรวมข้อมูลมาให้ AI ใช้ข้อมูลเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้และการทำงานของมัน เริ่มตั้งแต่ข้อมูลที่ใช้ในการเทรน AI จนไปถึงข้อมูลที่ใช้ในการทำงานจริง เช่น AI ที่ใช้ในการตอบคำถามหรือการประมวลผลภาษาธรรมชาติจะใช้ข้อมูลจากตัวอย่างของข้อความและข้อมูลจากเว็บไซต์ที่ต่างกัน เพื่อเรียนรู้และพัฒนาความสามารถในการตอบคำถามหรือการเข้าใจความหมายของประโยคได้ดีขึ้นตามโครงสร้างของโมเดล AI นั้นๆ

ดังนั้น หากหากเราจะรู้เท่าทันในการนำ AI มาใช้  เราต้องคิดแบบ AI เพราะการคิดแบบ AI นั้นแตกต่างกับการคิดของมนุษย์อย่างมาก โดยขั้นตอนและลักษณะที่สำคัญของการคิดแบบ AI มีดังนี้

 

  1.  การเรียนรู้จากข้อมูล: AI ใช้ข้อมูลเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ โดยมีการสร้างโมเดลและอัลกอริทึมเพื่อการเรียนรู้จากข้อมูลที่มีอยู่ เช่น การใช้ข้อมูลการสนทนาในการฝึก AI ให้เรียนรู้การตอบสนองที่ถูกต้องในสถานการณ์ต่างๆ
  2. การประมวลผลแบบขนาน: AI สามารถประมวลผลข้อมูลได้เร็วและเป็นขนาดใหญ่ได้ในเวลาเดียวกัน โดยใช้เทคนิคแบบขนาน (Parallel Processing) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลข้อมูลอย่างมาก
  3. การตัดสินใจอย่างเป็นตัวเลข: AI มักใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตัดสินใจ โดยใช้ตัวเลขและข้อมูลประเภทต่างๆ เช่น การให้คะแนนความเชื่อถือในข้อมูล เพื่อตัดสินใจในการกระทำต่างๆ
  4. การนำเสนอผลลัพธ์เชิงตัวเลข: AI มักนำเสนอผลลัพธ์เป็นตัวเลขหรือข้อมูลที่มีลักษณะตรงไปตรงมา ไม่มีการให้ความเห็นหรือความรู้สึกเหมือนกับมนุษย์
  5. การปรับเปลี่ยนและประเมิน: AI สามารถปรับปรุงโมเดลตามข้อมูลใหม่และการตอบรับจากผู้ใช้งาน อย่างไรก็ตาม มันจำกัดอยู่ในขอบเขตของข้อมูลที่มีอยู่และวิธีการเรียนรู้ที่ถูกโปรแกรมไว้
  6. การประเมินผลลัพธ์: AI มักมีการประเมินผลลัพธ์ตามกฎหมายหรือหลักการที่ถูกต้อง ไม่ได้ใช้ความรู้สึกหรือการวิเคราะห์ที่เชื่อมโยงกับมนุษย์

ทั้งหมดนี้คือแนวคิดเบื้องต้นของการคิดแบบ AI ซึ่งเน้นไปที่การประมวลผลข้อมูลและการเรียนรู้จากข้อมูลอย่างสำคัญ ดังนั้นหากจะเชื่อมจิตกับ AI เราต้องเข้าใจ AI เสียก่อนนั่นเอง