ความรักเจ้าเอ๋ย

วัชระ แวววุฒินันท์

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ “วันแห่งความรัก” อันเป็นเทศกาลที่คนทั้งโลกอ้าแขนรับมาช้านาน และในทางการตลาดก็ได้อุปโลกน์ให้เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแห่งความรัก เพื่อจะได้ขายของกันได้ทั้งเดือน

ดังจะเห็นได้จากโปรโมชั่นยามนี้ที่กระหน่ำกันออกมา ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารสุดโรแมนติกสำหรับคู่รักพร้อมเมนูพิเศษที่ประมาณว่า ได้กินแล้วจะรักกันปานจะกลืนกินยิ่งขึ้นไปอีก

หรือที่พักบรรยากาศดี เหมาะกับการควงคนรักไปทริปให้ดื่มด่ำฉ่ำทรวง

หรือของขวัญนานาชนิดที่เหมาะกับคนรักของคุณ ที่เชื่อว่าหากเขาหรือเธอรับแล้วจะนอนตายตาหลับแน่นอน

แม้กระทั่งภาพยนตร์ที่เข้าฉายในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ก็จะเน้นเป็นหนังรักเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่หนังเก่าอย่าง “ไททานิค” ที่นำกลับมาฉายใหม่ให้ได้ดื่มด่ำกับความรักของแจ็กกับโรส กันอีกครั้ง

ซึ่งสาวๆ ที่ไปดูก็พลอยเคลิ้มตามว่าเรานั้นเป็นดั่ง “โรส” ที่แม้ความจริงน้ำหนักตัวจะเกินอวบไปแล้ว จนต้องเรียกว่า “โหลด” ไม่ใช่โรสแล้วก็ตาม

จะเห็นว่ากลยุทธ์ทางการตลาดเหล่านี้เน้นไปที่กลุ่ม “คู่รัก” เป็นสำคัญ

แม้สื่อจะพร่ำบอกว่า ความรักนั้นอยู่คู่กับความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่แต่เฉพาะหนุ่มสาว แต่ในทางความเชื่อและการปฏิบัตินั้น ดูจะให้น้ำหนักไปทางความรักของชายหญิงเสียมากกว่าใดอื่น ซึ่งสำหรับโลกปัจจุบันก็รวมไปถึงความรักของชายชาย และความรักของหญิงหญิงด้วย

“ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” เป็นคำกล่าวที่เราได้ยินกันมาช้านาน ซึ่งจะว่าไปแล้ว ทุกๆ ที่น่ะนะที่มีทั้งทุกข์และสุข แต่เมื่อพูดถึงความรัก คนเรามักมองแบบโลกนี้เป็นสีชมพูกัน คิดถึงแต่ความหอมหวาน สดชื่น รื่นเร้าอารมณ์ ซึ่งนั่นคือความสุข แต่ไม่มีอะไรที่จะสุขได้ตลอดเวลา รักๆ กันอยู่ มีเรื่องผิดใจกันก็งอนกัน คราวนี้ก็จะทุกข์ล่ะสิ พองอนง้อจนกลับมายิ้มหวานกันอีก ก็กลับมาสุขอีกแล้ว

ซึ่งเรื่องของสุขและทุกข์ นั้นเป็นสัจธรรมของชีวิต เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

ในทางพุทธศาสนาได้พูดถึงเรื่องความรักไว้เช่นกัน โดยได้พูดถึงความรักไว้หลายแบบ กล่าวคือ

แบบแรกเรียกว่า “สิเนหะ” หรือว่า เสน่หา นั่นเอง ในทางพุทธศาสนาจัดว่าเป็นความรักฝ่ายอกุศล หรือความรักที่เป็นกิเลส ก่อให้เกิดความเศร้าหมองแห่งจิตใจ จัดอยู่ในกิเลสกลุ่มโลภะ

ยกตัวอย่างเช่น ขุนช้างเกิดเสน่หาในตัวนางวันทอง จนอยากได้มาเป็นภรรยา

แบบที่ 2 คือ “เปมะ” ได้แก่ ความรักฉันพ่อแม่ลูก ญาติพี่น้องและสามีภรรยา มีความเกี่ยวเนื่องเป็นคนร่วมเรือน หรือครอบครัวเดียวกัน เป็นความรักใคร่ในความสัมพันธ์ฉันญาติมิตร เช่น พ่อ แม่ ลูก พี่ชาย น้องชาย พี่สาว น้องสาว สามี ภรรยา และมิตรสหาย

แบบที่ 3 คือ “ฉันทะ” หมายถึง ความพอใจ ซึ่งจะเป็นกุศลก็ไม่ใช่ เป็นอกุศลก็ไม่ใช่ เรียกว่าเป็นคำกลางๆ จะเหมาะกว่า

แบบที่ 4 คือ “เมตตา” หมายถึง ความรักใคร่ ความเอ็นดู มีความปรารถนาดี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ปรารถนาให้เขามีความสุข

ซึ่งเจ้าเมตตานี้ ผมจะได้พูดถึงเป็นพิเศษต่อไป

 

จะว่าไปแล้วในวันแห่งความรักนั้น เจ้าความหมายที่เกี่ยวข้องมากสักหน่อย น่าจะเป็นแบบหนึ่งคือ “เสน่หา” ซึ่งความรักด้วยเสน่หานั้นมีความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐาน หรือใครว่าจริง

เมื่อเราชอบพอใคร ก็อยากใกล้ชิด อยากได้มาเป็นเจ้าของ เรามองผู้นั้นเป็นเครื่องสนองความสุข สนองความต้องการของตนเอง แต่เมื่อหวังแล้ว เขาไม่แลก็ผิดหวังไม่ได้ดังใจ ก็เกิดความรู้สึกกระทบกระทั่งรุนแรง

หรือถ้าเขาหรือเธอคนนั้นไม่อยู่ในภาวะที่จะสนองความต้องการให้แก่เราได้ ความรักก็อาจเปลี่ยนเป็นความเบื่อหน่าย รังเกียจ เช่น อยากให้เขาเอาอกเอาใจ เขาก็ไม่ทำ ก็เกิดเซ็งในอารมณ์ พาลจะไปหาคนอื่นที่เอาใจเราได้มากกว่า สาวกว่า หล่อกว่า

ซึ่งความรักแบบนี้แท้จริงแล้วคือการคิดจะได้จะเอาจากผู้อื่น ไม่ใช่ความดีงามอะไร

แต่ก็เข้าใจล่ะว่า อารมณ์ของความรักมักเป็นเช่นนี้

ฉะนั้น หากคราใดที่รักของเราเป็นทุกข์ ไม่ได้ดังใจจากเขา เขาพูดหรือทำอะไรที่ผิดจากที่เราคาดหวัง ก็ขอให้ใช้เจ้า “เมตตา” นี่แหละ เข้าแก้ปัญหา

 

เมตตา ด้วยการทำใจให้สงบ มองอย่างเข้าใจว่าเขาเป็นเช่นนี้เพราะอะไร และเราก็เมตตาเขาไป เช่น เมียใช้ให้ซักผ้า ผัวซักให้แต่ไม่สะอาดพอ เมียก็จะโกรธบ่นว่าใช้งานไม่ได้เรื่อง พลอยมีอารมณ์กันอีก ซึ่งถ้าเมียมีเมตตาสักหน่อย มองว่าผัวบางคนไม่เคยช่วยงานเมียเลย นี่เขายังดียังซักให้ตามที่ขอ ทั้งๆ ที่ตั้งแต่โตมาเขาไม่เคยต้องซักผ้าเอง จึงแน่นอนที่จะขาดความชำนาญอันเอกอุในการซักผ้าให้สะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนเรา ก็เมตตาเขาไป เรื่องก็จะจบ ไม่เป็นทุกข์

ในศาสนาคริสต์นั้นก็มีการพูดถึงเมตตาเช่นกัน และใช้คำว่า “เมตตาธรรม” เพื่อบ่งบอกถึงความรัก ซึ่งหมายถึง นิสัยอันมีคุณธรรมเหมือนพระเจ้า ด้วยการซึมซาบความดีจากพระองค์ โน้มนำเจตนาของมนุษย์ให้ยึดมั่นอยู่กับพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของพระองค์เหนือสิ่งใด และให้รักมนุษย์เพื่อเห็นแก่พระเจ้า

ตามคัมภีร์ว่าไว้ว่าความรักเป็นเอกลักษณ์ของศาสนาคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงเป็นองค์แห่งความรัก พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ด้วยความรัก ความรักมีประเภทต่างๆ คือ

1. ความรักในการสมรส ในศาสนาคริสต์มีการรับรองความรักนี้อย่างเป็นทางการโดยคู่สมรสเข้าพิธีศีลสมรส เพื่อให้กำเนิดบุตรและการให้การศึกษาอบรมแก่บุตร

2. ความรักต่อพระเจ้าและความรักต่อเพื่อนมนุษย์ และให้รักผู้อื่นเหมือนกับที่พระคริสตเจ้าทรงรักเรา

พระคัมภีร์บอกให้เรารักภรรยา รักสามี รักบิดามารดา รักลูกและรักเพื่อนบ้าน ยิ่งกว่านั้นยังให้เรารักศัตรูอีกด้วย พระเยซูเจ้าเทศนาไว้ว่า “จงรักศัตรู จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ทำร้ายท่าน จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าท่าน จงอธิษฐานเพื่อคนที่เคี่ยวเข็ญท่าน”

ซึ่งนับว่าเป็นการกระทำที่ยากมากเลยนะครับ หากใครทำได้ก็คือการชนะใจตนเอง ด้วยการมีเมตตาต่อผู้อื่นนั่นเอง

 

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งโลกสวยโดยเฉพาะกับหนุ่มๆ สาวๆ แต่คล้อยหลังได้วันเดียว ก็จะเป็นวันแห่งโลกหมองของผู้สูงวัยที่อยู่ในสภากันแล้ว เพราะจะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงคะแนน ในชื่อตอนที่เร้าใจว่า “ถอดหน้ากากคนดี”

ว่ากันว่าฝ่ายค้านจะพุ่งเป้าไปที่นายกฯ ลุงตู่ของเราเป็นสำคัญ ให้เห็นว่าที่บอกว่าเป็นคนดี๊ คนดีนั้น แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ซึ่งแน่นอนที่ย่อมหวังผลทางการเมืองในการเลือกตั้งที่ใกล้จะมีมาในไม่ช้านี้

ถ้าจากหลักคิดที่ว่า “ให้รักศัตรูของท่าน” ก็หวังว่า ทั้งสองฝ่ายที่ตั้งป้อมเป็นศัตรูของกันและกัน จะมองการอภิปรายครั้งนี้ด้วยความรัก และบวกความเมตตาเข้าไปด้วย

เขาด่ามา เราก็ยิ้มหวาน ใส่ความเมตตา และโอบกอดมาด้วยความรัก แม้ในใจลึกๆ จะฮึ่มๆ พร้อมกัดฟันกรอดๆ ก็ตาม

เพราะไม่ช้าไม่นาน เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ และผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว ไอ้ที่เคยเป็นศัตรูกันก็สามารถพลิกกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ ก็เคยมีให้เห็นบ่อยๆ

ฉะนั้น ไม่ว่าจะฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ก็ขอให้มองศัตรูของเราด้วยความรัก จะถอดหรือกระชากหน้ากากก็ทำด้วยความปรารถนาดี หรือจะโต้ตอบกลับไปก็ขอให้อุดมด้วยเมตตาธรรม

เฮ้อ…ขอในสิ่งที่ทำได้ยากเกินไปไหมเนี่ยเรา รักนะ จุ๊บ จุ๊บ •

 

เครื่องเคียงข้างจอ | วัชระ แวววุฒินันท์