ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 มกราคม - 2 กุมภาพันธ์ 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | ขอแสดงความนับถือ |
เผยแพร่ |
ขอแสดงความนับถือ
โลกดิจิทัลที่เรารู้จักและเริ่มคุ้นชิน
มีทั้งด้านสว่าง และด้านมืด
“มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับนี้
ขอนำเสนอเนื้อหาทั้ง “สองด้าน” นั้น
กล่าวถึงด้านสว่างก่อน
บทความพิเศษ ของ “จักรกฤษณ์ สิริริน” (หน้า 35)
ว่าด้วยเรื่อง “ยกทรง 4.0”
Kemisola Bolarinwa วิศวกรหญิงชาวไนจีเรีย สูญเสียคุณป้าของเธอไปจากมะเร็งเต้านมระยะที่ 3
เธอเห็นว่า หากป้าตรวจพบมะเร็งชนิดนี้ได้ในระยะเริ่มต้น ก็จะมีโอกาสที่จะรักษาได้
ด้วยผู้ป่วยจำนวน 9 ใน 10 คนที่ตรวจพบมะเร็งเต้านมได้ในระยะแรก สามารถรักษาให้หายได้
เธอจึงตัดสินใจที่จะลงมือทำอะไรบางอย่าง
เพื่อช่วยชีวิตของผู้หญิงคนอื่นๆ ให้ห่างไกลจากมะเร็งเต้านม
เป็นที่มาของ “ยกทรง 4.0”
“ยกทรง 4.0” ถูกออกแบบให้มีสมรรถนะคัดกรองมะเร็งเต้านมเบื้องต้นได้
“ทำได้ภายระยะเวลาเพียง 30 นาที” Kemisola Bolarinwa บอก ซึ่งเร็วและง่ายมาก
น่ายินดีที่ยกทรงรุ่นแรกนี้จะเปิดตัวในเดือนเมษายนที่จะถึง
และเธอคาดหวังว่า “ยกทรง 4.0” จะได้เสียงตอบรับที่ดีจากผู้หญิงทั่วโลก
พร้อมทั้งกำลังมองหาความร่วมมือจากภาครัฐ เพื่อที่จะนำ “ยกทรง 4.0” ไปใช้ในคลินิกท้องถิ่นทุรกันดารเพื่อให้ผู้หญิงสามารถเข้าถึงกระบวนการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมได้โดยง่ายขึ้น
ถือเป็น “ด้านสว่างไสว” ของโลกดิจิทัล ที่จะได้สัมผัสในเร็วๆ นี้
ส่วนในด้านมืด โปรดพลิกอ่านที่หน้า 60
“คงกฤช ไตรยวงค์” แห่งภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
นำเสนอบทความ “กลิ่นหอมของเวลาในโลกดิจิทัล”
โดยนำหนังสือ The Scent of Time (กลิ่นหอมของเวลา) นักปรัชญาเยอรมันเชื้อสายเกาหลีอย่าง บย็อง-ชอล ฮัน (Byung-Chul Han) ซึ่งกล่าวถึงบทบาทของเวลาในสังคมสมัยใหม่และผลกระทบที่มีต่อชีวิตของเรา มาสะท้อนถึง ด้านมืดของโลกดิจิทัล
โดยฮันระบุว่า เวลา กลายเป็นสินค้าอย่างหนึ่งในสังคมร่วมสมัย
ทำให้ผู้คนรู้สึกกดดันตลอดเวลาที่จะต้องใช้ประโยชน์จากมัน
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เพื่อให้มีประสิทธิผลและประสบความสำเร็จ
การมุ่งเน้นที่เวลาอย่างต่อเนื่องนี้
ได้นำไปสู่สังคมที่มีลักษณะเฉพาะของความอ่อนล้าและความเหนื่อยหน่าย
เกิดความรู้สึกขาดการเชื่อมต่อและความเหงา
แต่กระนั้น เราก็ยังถูกกระตุ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ให้ทะยานไปสู่ความสำเร็จให้ได้
โฆษณาสินค้าที่ว่า Just do it
ซึ่งมีความหมายโดยว่า ลงมือทำเลย ทุกอย่างเป็นไปได้อยู่แล้ว
กระตุ้นคนในโลกดิจิทัลตลอดเวลา
พร้อมๆ กับกระตุ้นนั้น ได้ทำให้เกิดพวกขี้แพ้ (losers) และผู้ป่วยโรคซึมเศร้า พร้อมกันไปด้วย
ในปัจจุบัน โซเชียลมีเดียมีการนำเสนอภาพชีวิตที่มีความสุขและประสบความสำเร็จของคนอื่นจำนวนมาก
ยิ่งตอกย้ำความล้มเหลวของตัวเอง
ทั้งๆ ที่ภาพที่นำเสนอเหล่านั้นถูกดัด ตัด แต่งมาแล้ว
ซึ่งน่าขื่นขำก็คือ
เรามักจะใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อดัดใบหน้าและรูปทรงของเราให้สวยงามดูดี จนกระทั่ง “โลกเบี้ยว” ในความหมายตามตัวอักษร
พูดอีกอย่างคือ เราพยายามนำเสนอตัวตนที่แท้จริงของเราเป็นจุดขาย แต่ข้างในกลวงเปล่า
อัตราการฆ่าตัวตายในสังคมที่แข่งขันกันสูง
ก็เป็นผลมาจากผู้คนที่มุ่งสู่ความสำเร็จแล้วกลายเป็นพวกขี้แพ้นี่เอง
อาจารย์คงกฤชชี้ว่า ประสบการณ์หลายอย่างของมนุษย์ที่ยึดโยงกับเวลา กำลังได้รับผลกระทบ
เช่น การพักผ่อนกลายเป็นการเตรียมตัวเพื่อที่จะทำงานให้มีประสิทธิภาพ
แม้แต่เวลานอนซึ่งเป็นสิ่งที่หมายถึงจุดสิ้นสุดของวัน
ก็กลายเป็นประสบการณ์อันแสนทุกข์ทรมานจากอาการนอนไม่หลับ
แทนที่จะเป็นเวลาที่อุ่นสบาย เรากลับได้ยินเสียงนาฬิกาดังติ๊กต็อก
เวลาที่ถูกทุบแตกเป็นเสี่ยงๆ นี้ ส่งผลกระทบให้ตัวตนของเรากลายเป็นเสี้ยวส่วนที่ขาดความต่อเนื่องไปด้วย
เมื่อเวลาแตกเป็นเสี่ยงๆ ประสบการณ์เกี่ยวกับช่วงเวลา (duration) หรือกลิ่นหอมของเวลาก็เสื่อมสลายคลายมนต์ขลังไปด้วยเช่นกัน
ในเงาแห่งความมืดของโลกดิจิทัล เราไม่ได้กลิ่นหอมของเวลามานานแล้วหรือยัง!?!
อนึ่ง ในบทความ “กลิ่นหอมของเวลาในโลกดิจิทัล” ของอาจารย์คงกฤช เชื่อมโยงไปถึงแชตบ็อต ที่กำลังฮิต “ChatGPT” อย่างแยบคาย
ทั้งนี้ แชตบ็อต ChatGPT ถือเป็นตัวอย่างของโลกดิจิทัลที่มีด้านสว่างและด้านมืดอยู่ในตัวเอง
ซึ่งในคอลัมน์ Cool Tech ของ “จิตต์สุภา ฉิน” (หน้า 34)
พาเราไปสัมผัสแชตบ็อต ChatGPT เพื่อให้รู้เท่าทัน
ทั้งด้านสว่างที่มีประโยชน์มากเกินกว่าจะถูกปิดกั้น
ขณะเดียวกันหากใช้ ChatGPT ไม่ถูกต้อง
มนุษย์ก็อาจตกอยู่ในด้านมืดมิด ที่ดันให้เราไป “รวมทาสสร้างชัย” ให้กับ “AI” ก็ได้ (ฮา) •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022