เผยแพร่ |
---|
ทั้งๆที่การตัดสินใจสะบั้นสายสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลของพรรคเพื่อไทยเท่ากับเป็นการเปิดหนทางสะดวกในทางการเมืองใหม่อัน น่าจะเป็นคุณอย่างสูง
เหตุใดแต่ละอากัปกิริยาอันมาจากแต่ละส่วนของพรรคเพื่อไทยกลับมิได้เป็นไปตามความคาดหวัง
เพราะว่าการตัดสินใจนี้ของพรรคเพื่อไทยเท่ากับตัดปมอันเคยมีปัญหาเนื่องจากความสัมพันธ์ที่คาราคาซังกับพรรคก้าวไกลทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง
เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานความต้องการอันเด่นชัด ไม่ว่าจะมองจากภายใน 250 สว. ไม่ว่าจะมองจากปฏิบัติการสั้นๆเมื่อ เชิญหลายพรรคการเมืองเข้าหารือ
เริ่มจากพรรคภูมิใจไทย ตามมาด้วยพรรคชาติพัฒนากล้า ตามมาด้วยพรรครวมไทยสร้างชาติ ตามมาด้วยพรรคชาติไทยพัฒนา ตามมาด้วยพรรคพลังประชารัฐ ทุกกลุ่ม
ทุกพรรคล้วนแสดงท่าทีที่ไม่เห็นด้วยกับการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 115 และไม่ต้องการร่วมเส้นทางกับพรรคก้าวไกล
เมื่อพรรคเพื่อไทยทำตามข้อเสนอแล้วเหตุใดจึงยังไม่ราบรื่น
พรรคเพื่อไทยมองข้ามสัจธรรมสำคัญเป็นอย่างยิ่งแห่งหลักอิทัปปัจยตา หรือหลักปฏิจจสมุปบาทที่ว่า เมื่อมีสิ่งนี้ก็ย่อมมีสิ่งนี้ เมื่อไม่มีสิ่งนี้ก็ย่อมมีสิ่งนี้
นั่นก็คือ แรงสะเทือนจากการตัด”สิ่งนี้”ออกไปก็จะนำ-ไปสู่การเกิด”สิ่งนี้”อันเหนื่อความคาดคิด
เนื่องแต่แต่ละสิ่งย่อมมีความสัมพันธ์ส่งผลสะเทือนต่อกัน
พลันที่พรรคเพื่อไทยตัดพรรคก้าวไกลออกไปจากวงจรไม่เพียงแต่ก่อแรงกระเพื่อมต่อความสัมพันธ์ร้าวระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล
หากแต่ภายในความสัมพันธ์”ใหม่”อันเริ่มต้นกับพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติพัฒนากล้า พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคพลังประชารัฐ ก็ก่อองค์ประกอบ”ใหม่”
ภายในการ”ร่วม”ก็เริ่มปรากฏ”การต่อสู้”ชิงความได้เปรียบ
ถามว่าเหตุใดจึงเริ่มมีเสียงเรียกร้องให้พรรคก้าวไกลสำแดงสปิริตในทางการเมือง แม้จะอยู่ในฝ่ายค้านแต่ก็แสดงความมีน้ำใจด้วยการโหวตสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย
การทวงบุญคุณก็ดังขึ้นจากคนของพรรคเสรีรวมไทย
เป็นการทวงบุญคุณในสภาพที่ MOU ถูกฉีกทิ้งอย่างยับเยินไปแล้ว เป็นการทวงบุญคุณแม้คนของพรรคเพื่อไทยจะเคยเล่นงานพรรคก้าวไกลอย่างสาหัส
เพราะในที่สุดพรรคเพื่อไทยก็พลัดตกเข้าไปอยู่ในวงล้อมใหม่ในทางการเมืองโดยอิทธิพลของ”3 ป.”อย่างชัดเจน