พลังอะไรที่ขับดันให้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เคลื่อนไหวราวกับเป็น”เครื่องจักร”ในทาง”การเมือง”ไม่ว่าจะตระเวนขึ้นเหนือ ไปยังภาควันออก ทะยานสู่อีสาน

หากติดตามแต่ละการปราศรัยอันเด็ดเดี่ยวและมั่นคงจากปาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่าที่ลำพูน ไม่ว่าที่ชัยภูมิ ไม่ว่าที่ชลบุรี ไม่ว่าที่อุบลราชธานี

ก็จะประจักษ์และรับรู้ได้ใน”เป้าหมาย” และเจตนประสงค์อันแท้จริงในทางการเมือง

นี่คือการเน้นไปยังที่เคยมุ่งมั่นเมื่อครั้งขับเคลื่อน”อนาคตใหม่” นี่คือการสร้างปรากฏการณ์ในแบบเดียวกันกับ #ฟ้ารักพ่อให้หวนฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

ควบคู่ไปกับการเดินสายอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะเป็น นายปิยบุตร แสงกนกกุล ไม่ว่าจะเป็น นส.พรรณิการ์ วานิช บน ความเป็นจริงใหม่ภายใต้พลังแห่งพรรคก้าวไกล

จึงไม่เพียงแต่จะเห็นการเคลื่อนไหวของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ของ นส.ศิริกัญญา ตันสกุล ของ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ของ นายรังสิมันต์ โรม

เช่นเดียวกับ นายเดชรัต สุขกำเนิด นายพริษฐ์ วัชรสินธุ

 

หากนำเอาบทบาทของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มาวางเรียงเคียง กับบทบาทของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็จะสัมผัสได้ทั้งจุดเหมือน และความต่าง

เป็นความเหมือนและความต่างที่มิได้ขัดแย้งหากแต่เป็นความต่างและความเหมือนที่เอื้อกันและกัน

เหมือนกับความต่างและความเหมือนอันเคยดำรงอยู่ในตัว ของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ นส.พรรณิการ์ วานิช เมื่อครั้งยังเป็นพรรคอนาคตใหม่

จุดที่อาจทำให้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มากด้วยความมั่นใจอยู่ที่การตระเตรียมพรรคก้าวไกลในยุค นายพิธา ลิ้มเจริญ รัตน์ เป็นการตระเตรียมด้วยเวลาที่มากกว่า

ทำให้ไม่ว่าที่ปัตตานี ไม่ว่าเชียงใหม่ ไม่ว่าที่กาญจนบุรี ไม่ว่าที่อุบลราชธานี ประสานเสียงเพลงด้วยจังหวะเดียวกัน

 

พรรคอนาคตใหม่ในยุค นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีเวลาน้อยมาก ในการตระเตรียม คัดสรรคนลงสมัครรับเลือกตั้ง ขณะที่พรรคก้าวไกลในยุค นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีเวลาถึง 3 ปี

เป็น 3 ปีในการคัดสรรคและบ่มเพาะนักการเมือง”รุ่นใหม่”จำนวน 400 คนใน 400 เขตทั่วประเทศ จำนวน 100 คนผ่านระบบบัญชีรายชื่อ จึงรวมเป็น 500 คนอันเป็นเงาสะท้อนแห่งการดำรงอยู่ในแบบ”มนุษย์พันธุ์ใหม่”

เสนอเป็นอีก”ทางเลือก”ท่ามกลางซากปรักหักพังการเมือง