เผยแพร่ |
---|
บทบาทพรรคเพื่อไทยในห้วงแห่งญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ เป็นบทบาทที่ต้องการแสดงบทบาท”นำ”จากจุดที่หัวหน้าพรรคดำรงอยู่ในสถานะแห่ง”ผู้นำฝ่ายค้าน”อย่างเต็มเปี่ยม
ภาพที่เห็นในที่ประชุมรัฐสภามีความเด่นชัดในบทบาท ไม่ว่าจะ มองผ่าน นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หรือ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง
ในฐานะ”หัวหน้าพรรค”ในฐานะ”เลขาธิการพรรค”
ขณะเดียวกัน ขุนพลนักอภิปรายไม่ว่าจะเป็น นายสุทิน คลังแสง ไม่ว่าจะเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ต่างออกโรงอย่างคึกคัก
ไม่เพียงแต่ออกโรงในการอภิปรายอย่างเข้มข้น ถึงลูกถึงคน ในเวลาของญัตติที่กำหนดวางเอาไว้ หากแต่ยังพร้อมประสานการเคลื่อนไหวบนเวทีนอกรัฐสภาอย่างมีกัมมันตะ
อย่าได้แปลกใจหากพรรคเพื่อไทยยังเปิดแคมเปญ “รวมพลัง ประชาชน รวมพลไล่ประยุทธ์”นอกเวทีรัฐสภา ล่ารายชื่อและตัวเลข ก็ทะยานเหยียบ”เรือนแสน”ด้วยความรวดเร็ว
มิได้เป็นการล่ารายชื่อเพียงใน”กทม.”หากแต่ในขอบเขตทั่วไทย
ยิ่งหากฟังคำชี้แนะล่าสุดจาก โทนี่ วู้ดซั่ม ยิ่งสัมผัสได้ในการขับ เคลื่อนกดดันไปยังส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทุกก้าวย่างอันมาจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นจังหวะของ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะของ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ล้วนสำแดงความพร้อมในทางการเมือง
เป็นความพร้อมในสถานะอันเป็นพรรคอันดับ 1 ของประเทศ เป็นพรรคที่พร้อมจะเข้าสู่สนามของการเลือกตั้ง
ทุกอย่างจึงดำเนินไปตามยุทธศาสตร์ที่เคยประกาศภายหลัง การปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่เมื่อกลุ่มของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ย้ายออกไปจัดตั้ง ”พรรคไทยสร้างไทย”
นั่นก็คือ ยุทธศาสตร์ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งครบทั้ง 350 เขตทั่วประเทศ อันเป็นยุทธศาสตร์ซึ่งต่างออกไปจากที่เคยขับเคลื่อนในการ เลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562
ยุทธศาสตร์นี้ยังดำรงคงอยู่กับพรรคเพื่อไทย ณ วันนี้
จึงเด่นชัดว่า ไม่ว่าแบบวิธีการเลือกตั้งจะเปลี่ยนจาก 350 เขต 150 บัญชีรายชื่อ ไปเป็นอย่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่เป็น 400 เขต 100 บัญชีรายชื่อหรือไม่
แต่ยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยก็จะอยู่ที่ระบบเขตเป็นพื้นฐาน
เพียงแต่หากเป็น 400 เขต 100 บัญชีรายชื่อ โอกาสยิ่งจะเปิดให้กับพรรคเพื่อไทยมากยิ่งขึ้น
เช่นนี้เองความคึกคักจึงปรากฏผ่านพรรคเพื่อไทยเด่นชัด