เผยแพร่ |
---|
การชุมนุมของ ฟรียูธ เยาวชนปลดแอก และ สหภาพนักเรียน นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย บนถนนราชดำเนินและบริเวณรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ก่อให้เกิดความรู้สึก ความคิดเห็นตามมาอย่างหลากหลายน่าศึกษาอย่างเป็นพิเศษ
หากเป็นผู้ที่ไม่เห็นด้วยความรู้สึกที่ครอบงำย่อมเป็น”ด้านลบ”
ขณะเดียวกันหากเป็นผู้ที่เห็นด้วยความรู้สึกครอบงำย่อมเป็นใน”ด้านบวก”
กระนั้น ภายใน”ลบ” ภายใน”บวก”ก็มีลักษณะพิเศษ
ลักษณะพิเศษนั้นดำเนินไปในกระบวนท่าที่ละม้ายเหมือนกันโดยอัตโนมัติ นั่นก็คือ นำเอาประสบการณ์และความจัดเจนอันเป็นของตนไปวัดและประเมินบทบาทของคนรุ่นใหม่
บ้างจึงออกมาในท่วงทำนองแบบเยาะหยัน บ้างจึงออกมาในท่วงทำนองห่วงหาอาทร
ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้
หากใครติดตามบทบาทของนักวิชาการระดับดุษฎีบัณฑิตท่านหนึ่ง ในรายการวิพากษ์วิจารณ์ทางออนไลน์ก็จะสัมผัสได้ในความจัดเจน และยึดติด
เป็นการยึดติดจากบทเรียนเดือนตุลาคม 2516 นำเอาสอดสวมกับสิ่งที่น้องๆรุ่นใหม่แสดงออก
เพราะว่าประทับใจบทบาทของนิสิตนักศึกษายุคนั้นว่าได้ลงไปทำงานเชื่อมประสานไม่ว่าจะเป็นขบวนการผู้ใช้แรงงาน ไม่ว่าจะเป็น ขบวนการชาวนา
ขณะที่กล่าวสำหรับน้องๆที่อยู่ในฟรียูธ เยาวชนปลดแอก หรือสหภาพนักเรียน นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ถูกมองว่าส่วนใหญ่มักจะเป็นเกรียนคีย์บอร์ด
การเปรียบเทียบอย่างนี้มากด้วยสีสันแต่ก็มองข้ามความเป็นจริงสำคัญไปอย่างน่าเสียดาย
นั่นก็คือ ความเป็นจริงของปี 2516 กับของปี 2563
ไม่ว่าการถอดบทเรียนการชุมนุมจะดำเนินไปในกระสวนแบบลบ ไม่ว่าการถอดบทเรียนการชุมนุมจะดำเนินไปในกระสวนแบบบวก
แต่ลักษณะ”ร่วม”ที่สำคัญหนึ่งซึ่งไม่ควรมองข้าม
นั่นก็คือ ทุกคนมักติดอยู่กับประสบการณ์ของตน บทเรียนของตน จึงเกิดความโน้มเอียงที่จะนำประสบการณ์และบทเรียนของตนเป็นเหมือนแก้วสารพัดหนึ่ง
ในที่สุดก็คือ ต้องการดัดแปลงโลกและเปลี่ยนแปลงโลกไปตามความปรารถนาของตนกระทั่งมองข้ามความปรารถนาของคนอื่น