เผยแพร่ |
---|
สังคมไทยกำลังตกอยู่ในลักษณาการอันแปลกประหลาดยิ่งในทางความคิดและในทางการเมือง เหมือนกับตกอยู่ในภวังค์
ตกอยู่ในความเชื่อที่เหลือเชื่อ
หากถามว่าเชื่อหรือไม่ว่า เงิน 50,000 ล้านบาทที่ครม.อนุมัติให้อุ้มการบินไทยจะประสบความสำเร็จ
คำตอบจะออกมาว่า ไม่เชื่อ แต่ความไม่เชื่อนั้นก็ไม่มีผลใดๆ
หากถามว่าการคงประกาศและบังคับใช้สถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก 1 เดือนจะสามารถทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสมีผลดีถึงระดับเหลือเพียง 0 หรือไม่
คำตอบก็จะออกมาในแนวทางเดียวกันกับกรณีการอุ้มการบินไทย
ยิ่งคำถามอันเกี่ยวกับ”พรรคพลังประชารัฐ”ยิ่งเหลือเชื่อ
หากถามว่าเชื่อต่อคำแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือไม่ว่า ปัญหาขัดแย้งแย่งชิงตำแหน่งกันภายในพรรคพลังประชารัฐจบลงแล้ว
คำตอบก็จะดำเนินไปในกระสวนเดียวกันกับกรณีการเทเงิน 50,000 ล้านบาท”อุ้ม”การบินไทย
นั่นก็คือ ไม่เชื่อว่าปัญหาในพรรคพลังประชารัฐจะจบ
เหมือนไม่เชื่อว่าปัญหาอันเนื่องแต่โครงการ”เราไม่ทิ้งกัน”จะจบ
กล่าวสำหรับกรณีของพรรคพลังประชารัฐเพราะคนที่ออกมาระบุถึงความพยายามที่จะเลื่อยขาเก้าอี้หัวหน้าพรรคนั้นมิใช่ระดับ ธรรมดา
หากแต่มาจากปากของ นายอุตตม สาวนายน หากแต่มาจากปากของ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ว่ามีอยู่จริง
นั่นก็คือ เป็นเสียงจากตัวกลั่นในกลุ่ม “4 ยอดกุมาร”
ความจริง ความไม่พอใจต่อสถานะของ นายอุตตม สาวนายน ใน ตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีมาตั้งแต่แรกเป็นก่อนการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 มาแล้ว
ยิ่งในห้วงของการจัดสรรตำแหน่งทางการเมืองก่อนการขานชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรียิ่งแหลมคม
แหลมคมจากบทบาทอันมากด้วยความจัดเจนของพรรคประชาธิปัตย์ ของพรรคภูมิใจไทย หรือแม้กระทั่งพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคชาติพัฒนา
สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสช่วยกระพือตะกอนอันนอนก้นภายในพรรคพลังประชารัฐให้ปรากฏขึ้นอีกภายใต้การแย่งชิงตำแหน่ง
เมื่อความเป็นจริงดำรงอยู่เช่นนี้แล้วไฉนชาวบ้านจะเชื่อคำพูด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ