เผยแพร่ |
---|
กรณีของ “ปั๊นจั่น ปรมะ” ก่อให้เกิดการเปรียบเทียบไปยังกรณีของ “เอ๋ ปารีณา”โดยอัตโนมัติ
เริ่มต้นจากพื้นที่ในทาง”วัฒนธรรม”
แล้วบานปลายกลายเป็นประเด็นในทาง “การเมือง”อันแหลมคม
ทั้งยังชี้ชัดออกทางด้าน”เศรษฐกิจ”
เพราะความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งในกรณีของ”ปั๊นจั่น ปรมะ”คือ การไม่ให้การสนับสนุนต่อภาพยนต์ที่กำลังฉายอยู่ในโรง กลายเป็นความอ้างว้างโดดเดี่ยว
ขณะเดียวกัน ในทาง”โซเชียล มีเดีย”กลับแตกแยกสาขาออกมาเป็น “รีแอ็คชั่น”อย่างคึกคัก
นี่คือเส้นทางวัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ
ยังไม่มีใครสามารถสรุปออกมาได้ว่าความล้มเหลวในเรื่องรายได้ของภาพยนต์ที่ ปั๊นจั่น ปรมะ รับบทเป็นตัวเอกมีสาเหตุเนื่องจากอะไร
เป็นเพราะภาพยนต์ไม่มี “สาร” ที่จูงใจคนดูเท่าที่ควร
หรือเป็นเพราะแรงกระทบจากปฏิกิริยาการเลือกข้างแบ่งฝ้ายในทางการเมือง
เพราะ”โพสต์”ของ ปั๊นจั่น ปรมะ มีความแจ่มชัด
แจ่มชัดตั้งแต่ร่วมกับทีมของ”บุพเพสันนิวาส”เข้าให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในทำเนียบรัฐบาล และต่อมาแสดงทัศ นะที่ไม่ให้ความสนใจกับการเลือกตั้ง
ยิ่งภายหลังการเลือกตั้งทัศนะของ ปั๊นจั่น ปรมะ ยิ่งอวยให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
และวางเป้าหมายไปยังกระแส”ฟ้ารักพ่อ”อย่างไม่ปิดบัง
จึงไม่เพียงแต่พวกเสื้อแดงเท่านั้นหากแต่น้องใหม่ที่ชมชอบกับสีส้มก็มีความเป็นเอกภาพในการปฏิเสธ ปั๊นจั่น ปรมะ อย่าง พร้อมเพรียงกัน
ผลที่สุดก็คือ ปั๊นจั่น ปรมะ เป็นเป้าในการระบายอารมณ์
ลักษณะ”ร่วม“อย่างสำคัญจากกรณีของ “เอ๋ ปารีณา”มายังกรณีของ “ปั๊นจั่น ปรมะ” คือ เป้าหมายที่ต้องการโจมตีในเบื้องต้นได้เกิดการแปรเปลี่ยน เป็นการแปรเปลี่ยนในลักษณะ”หอกสนองคืน”
นั่นก็คือ แทนที่เป้าหมายจะราบคาบ กลับกลายเป็นว่าเจ้าของโพสต์นั่นเองที่ราบคาบ
กลายเป็นเหยื่ออันร้อนแรงในโลกออนไลน์