เผยแพร่ |
---|
คนสมัยก่อนเขียนรูปหมาไว้ทำไม ไม่มีใครรู้? แต่เชื่อว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่มีความหมายยิ่งใหญ่ต่อมนุษย์กลุ่มนั้น ยุคนั้น จึงเขียนรูปหมาไว้อย่างยกย่อง
ในถ้ำเขาปลาร้า จ.อุทัยธานี มีภาพขียนสีรูปหมา มีทั้งหมาตัวเดียวและหมาสองตัวอยู่กับคนตัวโตที่กางแขนขา
หมา 9 หาง
บนหน้าผาที่มณฑลกวางสีในจีน มีภาพเขียนสีแดงรูปหมาขนาดใหญ่สุดอยู่ท่ามกลางฝูงคนที่ทำท่าคล้ายกบเรียงรายล้อมรอบนับพันๆ คน ราวกับกำลังทำพิธีบูชายัญหมา ชาวจ้วงมีนิทานเล่าว่า
แต่ก่อนคนเรายังโง่ ยังไม่มีข้าวกิน เพราะไม่รู้จักและไม่มีเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูก
ครั้งนั้นมีหมา 9 หางตัวหนึ่งขึ้นไปบนสวรรค์ แล้วเอาหางทั้ง 9 จุ่มลงไปในกองข้าวของสวรรค์เพื่อขโมยพันธุ์ข้าวมาให้มนุษย์ พันธุ์ข้าวสวรรค์ก็ติดที่หางทั้ง 9 แล้วหนีมา
แต่เทวดาเห็นก่อน จึงไล่ตาม แล้วใช้เทพอาวุธฟาดฟันหมาที่ขโมยพันธุ์ข้าว
เทพอาวุธฟาดถูกหางขาดไป 8 หาง หมาจึงเหลือหางเดียว พร้อมพันธุ์ข้าวที่ติดหางมาให้มนุษย์
นับตั้งแต่นั้นมามนุษย์ก็รู้จักปลูกข้าวกิน แล้วยกย่องหมาเป็นผู้วิเศษที่ทำคุณแก่มนุษย์
ทุกวันนี้ชาวจ้วงบางกลุ่มยังตั้งรูปหมาหินไว้ตรงทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อถึงวันตรุษ-วันสารทก็พากันมาตั้งเครื่องเซ่นสรวงสังเวยหมาหิน เพื่อขอให้เป็นผู้คุ้มครองชุมชน และขอให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย
กลุ่มชนบางพวกบนที่สูงยกย่องหมาเป็นสัตว์บูชายัญ ใช้หมาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยผีบรรพชนและผีบ้านผีเรือน แล้วตัวเองก็กินหมาเป็นอาหารด้วย
ปัจจุบันชาวจ้วงส่วนมากกินหมาเป็นอาหาร ถือเป็นของดีวิเศษสุดทีเดียว เมื่อมีแขกไปใครมาเยี่ยมเยือนก็ต้องปรุงหมาขึ้นโต๊ะไว้ต้อนรับขับสู้
คนเล่าเรื่องเป็นผู้หญิง
คนทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาทั้งปวง เช่น นิทานเรื่องหมา 9 หาง ต้องเป็นผู้หญิง
เพราะผู้หญิงในสังคมดึกดำบรรพ์ได้รับการยกย่องเป็นหัวหน้าพิธีกรรม และผีบรรพชนจะเข้าสิงในร่างทรงของผู้หญิงเท่านั้น
มีตัวอย่างพิธีเลี้ยงผีของชุมชนหมู่บ้านทั่วไปในภูมิภาคอุษาคเนย์ เช่น ผีฟ้าของลาว ผีมดของเขมร ผีเมงของมอญ ล้วนมีผู้หญิงเป็นร่างทรง ผีเหล่านี้ไม่เข้าร่างทรงที่เป็นผู้ชาย
ความรู้ความสามารถพิเศษต่างๆ เป็นของผู้หญิง เช่น ตีหม้อ ทอผ้า ฯลฯ ดังกรณีภาชนะลายเขียนสีในวัฒนธรรมบ้านเชียง ราว 3,000 ปีมาแล้ว ล้วนเป็นฝีมือผู้หญิง แม้ทุกวันนี้หมู่บ้านในภาคอีสานยังมีประเพณีทำภาชนะด้วยวิธีตีหม้อ ก็ล้วนฝีมือผู้หญิง
หมอผี หมอขวัญ
คนที่มีความรู้พิเศษมักเรียกกันว่าหมอ และ/หรือช่าง เช่น หมอผี หมอพร หมอขวัญ หมอลำ หมอแคน หมอตำแย หมอดู หรือช่างขับ ช่างฟ้อน ฯลฯ จนถึงช่างสิปป์หมู่ (สิปป์ ตรงกับ ศิลป์ แต่ภายหลังความเข้าใจคลาดเคลื่อน เลยเขียนสิบ กลายเป็นช่างสิบหมู่)
เหตุนี้เองคำว่าหมอจึงใช้เรียกแพทย์ที่มีความรู้พิเศษในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของคนไข้คนป่วยในปัจจุบันด้วย
แต่ในยุคดึกดำบรรพ์คนที่ได้รับยกย่องว่าหมอ จะเป็นพวกมีความรู้หลากหลายรอบด้าน เช่นเดียวกับทุกวันนี้ยกย่องนักปราชญ์ราชบัณฑิตว่ารอบรู้ทั้งคดีโลกและคดีธรรม ซึ่งเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางสังคมของยุคนั้น
กรณีคนทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาทั้งปวง คงเรียกว่าหมอผี หรือหมอขวัญ หรือหมอพร ดังจะพบว่าในปัจจุบันยังมีหมอผี กับหมอขวัญ หรือหมอพรทำพิธีกรรมเชิญผีและเลี้ยงผี รวมทั้งพิธีสู่ขวัญด้วย แต่ส่วนมากหลังจากรับศาสนาจากชมพูทวีปแล้วริบให้ผู้ชายทำหน้าที่
ประเพณีเล่าเรื่องด้วยคำคล้องจองอย่างมีทำนองและมีเครื่องดนตรีประกอบ พบหลักฐานเก่าสุดราว 3,000 ปีมาแล้ว คือลายเส้นบนหน้ากลองทองหรือมโหระทึก ในวัฒนธรรมดองซอนที่ภาคเหนือของเวียดนาม เป็นรูปหมอแคนทำท่าเป่าแคน แล้วมีหมอลำหรือช่างขับช่างฟ้อน ทำท่าทางเข้าทำนองอยู่ด้วย
นั่นไม่ใช่การแสดงสนุกสนานอย่างทุกวันนี้ หากเป็นการละเล่นศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมขอฝน เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของเผ่าพันธุ์และชุมชน ซึ่งต้องขับลำด้วยคำคล้องจอง ที่เรียกกันภายหลังว่าคำขับนั่นเอง
แต่เป็นคำขับที่คล้องจองกันอย่างไร? และขับเรื่องอะไร? ย่อมรู้ไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานแน่ชัด ถ้าจะคาดคะเนเอาตามประเพณีที่มีสืบเนื่องอยู่ในชนเผ่าเหล่ากอมาถึงปัจจุบัน ก็อาจบอกได้ว่าลายเส้นหมอแคนกับหมอลำกำลังขับลำเล่าเรื่องผีฟ้า ผีแถน หรือผีบรรพชน
ภาพประกอบ
ภาพเขียนสีบางภาพ เสมือนภาพประกอบตำนานนิทานศักดิ์สิทธิ์
แต่ภาพเหล่านั้นเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดียืนยันว่าคนยุคนั้นมีความเชื่อจริงอย่างตำนานนิทาน แต่ตำนานนิทานไม่ใช่เรื่องเกิดขึ้นจริง
ตำนานนิทานจึงใช้ประโยชน์ได้ในทางวิชาความรู้ เมื่อมีพยานหลักฐานประกอบหนักแน่น และขึ้นอยู่กับจะใช้งานประเภทไหน? อย่างไร?