ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 เมษายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | On History |
ผู้เขียน | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ |
เผยแพร่ |
นักวิชาการหลายกลุ่ม ทั้งที่เป็นชาวอินเดีย และหมายรวมถึงอีกมากที่ไม่ใช่ เคยเชื่อกันว่า เจ้าของดั้งเดิมของวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ที่ถือกันว่าคือต้นกำเนิดของอารยธรรมอินเดียเมื่อราว 5,000 ปีที่แล้วนั้นคือ พวกดราวิเดียน (Dravidian) ซึ่งมีผิวกายสีดำ จมูกแบน ปากแบะ ผมหยิก และอาศัยอยู่รวมกันเป็นสังคมเกษตรกรรม
ได้ถูกพวกอารยัน (Aryan) ที่มีผิวขาว ตาสีฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน และใช้ชีวิตเร่ร่อนหมุนเวียนอยู่บนหลังม้า และกระโจม ตามแบบฉบับของผู้คนทั่วไป ที่ดำรงชีวิตอยู่ในภูมิภาคเอเชียกลาง เข้ามารุกรานขับไล่จนถอยร่นลงไปทางใต้ของชมพูทวีป มาจนกระทั่งทุกวันนี้
คำว่า “ดราวิเดียน” เป็นคำใหม่ที่ชาวตะวันตกผูกขึ้นมาจากคำในภาษาสันสกฤตว่า “ทราวิฑ” (Dravida) ที่มีคำว่า “ทรามิท” (Dramida) ใช้คู่อยู่ในความหมายเดียวกันด้วย แต่ทั้งคำสองนี้ก็มีรากมาจากภาษาอื่น ไม่ใช่ตระกูลภาษาอินโดยูโรเปียน อย่างภาษาสันสกฤตของพวกอารยัน
พูดง่ายๆ ว่าเป็นคำที่ภาษาสันสกฤตไปหยิบยืมมาจากภาษาอื่น ซึ่งก็คือภาษาพื้นเมืองอีกทอดหนึ่ง คือคำว่า “ทราวิทิ” (Dravidi) และ “ทมิฬิ” (Damili)
ทุกวันนี้เรามักจะรู้จักชนกลุ่มนี้ในชื่อของ “ทมิฬ” (Tamil, ซึ่งก็คือสำเนียงเสียงท้ายที่สุด ที่กร่อนมาจากคำว่า “ทมิฬิ”) ที่มักจะกระจายตัวอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดียปัจจุบันมากกว่า
เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ทางตอนเหนือของชมพูทวีป ซึ่งมักเป็นที่อยู่ของพวก “แขกขาว” ที่สืบสายมาจากอารยันเสียมากแล้ว ก็จึงไม่แปลกอะไรนักหรอกครับ ที่ลักษณะอย่างนี้จะยิ่งตอกย้ำความเชื่อเรื่องการรุกรานเข้ามาในชมพูทวีป ของพวกอารยันได้อย่างดีเยี่ยม
จุดสูงสุดของความเชื่อนี้เกิดขึ้นเมื่อนักโบราณคดี ผู้มีบทบาทอย่างสูงในแวดวงโบราณคดีสหราชอาณาจักร และอินเดีย ในช่วงกลางศตวรรษที่แล้วอย่าง เซอร์ มอร์ติเมอร์ วีลเลอร์ (Sir Mortimer Wheeler, มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ.2433-2519) ได้เสนอว่า กลุ่มของโครงกระดูกที่มีค้นพบอยู่บนชั้นวัฒนธรรม ชั้นบนสุดในหลุมขุดค้นที่เมืองโมเหนโจดาโร (ซึ่งก็หมายถึงชั้นวัฒนธรรมสุดท้ายที่มีผู้คนอยู่อาศัยในเมืองนี้) นั้นคือ “เหยื่อ” จากการสังหารโหดของพวกอารยันที่ได้รุกรานเข้ามา เมื่อราว 3,500 ปีที่แล้ว
ดังปรากฏหลักฐานที่เอ่ยถึงสมรภูมิที่เรียกว่า “หริอุปิยะ” (Hariupiya) อยู่ในคัมภีร์ฤคเวท ของพวกอารยัน จนเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุล่มสลายลง
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาข้อมูลทางโบราณคดี จากกลุ่มโครงกระดูกจากเมืองโมเหนโจดาโรดังกล่าวนั้น กลับให้ข้อมูลในทิศทางที่แตกต่างกันออกไปจากข้อสันนิษฐานของเซอร์วีลเลอร์โดยสิ้นเชิง
เพราะถึงแม้ว่าโครงกระดูกบางโครง จะแสดงให้เห็นถึงร่องรอยของอาการบาดเจ็บ
แต่ก็เป็นอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ที่มีร่องรอยของการรักษา
แถมยังมีช่วงระยะเวลาทิ้งห่าง กว่าจะเสียชีวิตที่นานเกินกว่าจะเป็นการตายเพราะพิษบาดแผลที่ว่าอีกต่างหาก
ที่สำคัญก็คือปริมาณของโครงกระดูกที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านี้ถือว่าน้อยเอามากๆ เมื่อเทียบกับโครงกระดูกทั้งหมดในชั้นวัฒนธรรมเดียวกัน
จนไม่น่าจะเกิดจากการสังหารหมู่อย่างโหดเหี้ยม เพราะสงครามที่พวกอารยันเข้ามารุกรานชาวดราวิเดียนพื้นเมือง ในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ อย่างที่เซอร์วีลเลอร์ได้จินตนาการเอาไว้
และนี่ก็ทำให้นักวิชาการที่โต้แย้งข้อสันนิษฐานของเซอร์วีลเลอร์บางคน ถึงขนาดเรียกข้อสันนิษฐานดังกล่าวของท่านเซอร์คนนี้เอาไว้อย่างแสบๆ คันๆ ว่า “การสังหารหมู่ในมโน” (mythical massacre) เลยทีเดียว
ยังมีคำบอก (ที่ไม่รู้ว่าใครเริ่มบอกเป็นคนแรก?) เอาไว้ในแนวคิดเรื่องการรุกเข้ามาของพวกอารยันในทำนองนี้ด้วยว่า พวกอารยันได้รุกเข้ามาในลุ่มแม่น้ำสินธุโดยผ่านทางช่องเขาไคเบอร์ (Khyber pass) ในเทือกเขาฮินดูกูษ (Hindu Kush) ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญในการเดินทางจากพื้นที่บริเวณภูมิภาคเอเชียกลาง เข้าไปยังลุ่มแม่น้ำสินธุ
แน่นอนว่า นอกจากที่พวกอารยันจะไม่ได้รุกรานเข้ามาในรูปแบบของสงครามแล้ว พวกเขาก็ยังไม่เคยจดบันทึกเอาไว้ด้วยว่า เดินทางผ่านช่องเขาใดมาบ้างหรอกนะครับ
แต่ก็น่าสนใจว่า เส้นทางนี้ ก็คือเส้นทางเดียวกับที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ แห่งมาซิดอน (Alexander the Great, มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ.187-220) คือ มาซิโดเนียในปัจจุบัน ทรงใช้เมื่อครั้งที่คราวที่เข้ามาทำศึกกับชาวชมพูทวีปเมื่อ พ.ศ.217
เอาเข้าจริงแล้ว จึงอาจจะเป็นเส้นทางที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ทรงใช้ในการเข้ามารุกรานดินแดนบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุนี่เอง ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครต่อใครนำไปประดิษฐ์เป็นนิทาน เรื่องการรุกรานเข้ามาในชมพูทวีปของชาวอารยัน ซึ่งก็ดูจะมีรูปร่างหน้าตาไม่ต่างไปจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์เท่าไหร่นัก (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรูปร่างหน้าตาของชาวทมิฬ หรือดราวิเดียน)
ร่องรอยที่น่าสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ รายงานการสำรวจเส้นทางเดินทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์อย่างละเอียด ที่ชื่อว่า “On Alexander”s Track to the Indus : personal narrative of explorations on the North-west frontier of India, carried out under the orders of H.M. India Government” (ที่อาจจะแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “ตามรอยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ไปยังลุ่มแม่น้ำสินธุ : ประสบการณ์สำรวจจากชายแดนทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ในอุปถัมภ์ของรัฐบาลสหราชอาณาจักรแห่งอินเดีย”) โดยเซอร์ออเรล สไตน์ (Sir Aurel Stein, มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ.2405-2486) ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2472 โดยท่านเซอร์สไตน์ เป็นนักโบราณคดีรุ่นบุกเบิก ที่ถูกเรียกว่าเป็นทั้งนักสำรวจ, นักภูมิศาสตร์, นักภาษาศาสตร์ และนักชาติพันธุ์วรรณา (ethnographer)
ผลงานสำคัญของท่านเซอร์คนนี้ก็คือ การรวบรวมบันทึก, จารึก และเอกสารโบราณอื่นๆ จากวัดถ้ำต่างๆ ที่เมืองตุนหวง (Dunhuang) มณฑลก่านซู่ (Gansu) ประเทศจีน ซึ่งช่วยให้เข้าใจประวัติศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียกลางเป็นอย่างมาก
ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรนักที่ พวกอังกฤษจะใช้ท่านเซอร์สไตน์ในการสำรวจเส้นทางของกองทัพพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ จากเอเชียกลางเข้าไปสู่ลุ่มน้ำสินธุ
โดยเฉพาะเมื่อเป็นการสำรวจในอุปถัมภ์ของรัฐบาลสหราชอาณาจักร แห่งอินเดีย ในยุคอาณานิคม ที่อังกฤษเข้าไปปกครองอินเดีย และคนขาวคือตัวแทนของความศิวิไลซ์ ในขณะที่คนผิวสีอื่นคือผลผลิตของความไม่เป็นอารยะ
ชาวยุโรปในยุคอาณานิคมล้วนแล้วแต่ตระหนักดีถึงสถานะความเป็น “คนนอก” และ “ผู้รุกราน” ในดินแดนเส้นศูนย์สูตรอันไกลโพ้นของตนเองนะครับ จึงมักจะพยายามสร้างความชอบธรรมที่คล้ายจะถูกต้องด้วยกฎหมาย
และวิธีการยอดนิยมที่ถูกงัดขึ้นมาใช้อยู่เสมอก็คือ “การสืบทอด” อำนาจการปกครองตามแต่จะสมมติกันขึ้นมาจากผู้ปกครองท้องถิ่น ที่ยอมสยบ หรือถูกช่วงชิงอำนาจด้วยชาวยุโรป
ดังนั้น พวกยุโรปจึงมักตั้งอกตั้งใจสร้าง “ประวัติศาสตร์” ให้กับผู้ปกครองท้องถิ่นเหล่านั้นเป็นพิเศษ เพื่อที่จะใช้อ้างสิทธิเหนือดินแดนของผู้ปกครองเดิมที่ชาวยุโรปพิชิตได้ (โดยเฉพาะเมื่อต้องประชันกับชาติมหาอำนาจอื่นจากโลกตะวันตกด้วยกัน)
ยิ่งเมื่อประวัติศาสตร์ของชนชาตินั้น แสดงให้เห็นถึงความเจริญที่กลุ่มชนภายนอกนำเข้าไปให้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เพราะนั่นก็หมายถึงสิทธิธรรมของ “ผู้มาใหม่” อย่างพวกตนเอง ที่พร้อมจะมอบความเจริญยิ่งขึ้นไปให้กับผู้อยู่ภายใต้ปกครอง อันเป็นชนพื้นเมืองด้วยเช่นกัน
ทั้งๆ ที่วางตัวเป็นลูกแกะน้อย ที่ถูกหมาป่าเจ้าอาณานิคมกลั่นแกล้งรังแก แต่ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยก็ถูกสร้างขึ้นด้วย “พล็อต” ทำนองเดียวกันนี้เหมือนกันนะครับ
ไม่ว่าจะเป็นการอพยพมาจากน่านเจ้า หรือเทือกเขาอัลไต ก็ล้วนแล้วแต่เป็นการเข้ามาสร้างศูนย์กลางอำนาจใหม่ แทนกลุ่มชนที่มีอยู่เดิม ไม่ว่าจะเป็นขอม หรือมอญ ก็ตาม
และก็เป็นชนชาติจากน่านเจ้า หรือเทือกเขาอัลไต ซึ่งเข้ามาใหม่นี่แหละ ที่สร้างบ้านแปงเมืองจนกลายเป็นอาณาจักรต่างๆ แล้วสืบทอดมาเป็นสยามประเทศไทยในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่ชนชาติอื่นที่สร้างปราสาทขอม เจดีย์อย่างลาวทั้งล้านนา ล้านช้าง รวมไปถึงมัสยิดหรือสุเหร่ามลายู ที่เพิ่งจะถูกรวบเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนประเทศไทย เมื่อรัฐส่วนกลางที่กรุงเทพฯ สามารถเจรจาปักปันเขตแดน กับชาติมหาอำนาจตะวันตกได้จนเป็นผลสำเร็จนั่นเอง