วางบิล เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ / สู่ร่มกาสาวพัสตร์ ศาลาริมทาง

วางบิล/เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาสาวพัสตร์ ศาลาริมทาง

จงจิตกลับถึงบ้านพัก ตั้งใจตรวจการบ้านนักเรียนต่อ แต่แล้วความคิดถึงปานก็แวบเข้ามาอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง—เธอสะท้านวูบในอกขึ้นอีกครั้ง

กับปาน มันเป็นอุบัติเหตุทางใจหรืออะไรเหลือที่จะกล่าว เธอไม่กล้าตัดสินลงไปว่า การมีโอกาสพบกับปานทำให้เธอดีขึ้น หรือที่เธอมาอยู่ที่นี่กันแน่

ที่รู้ได้ชัดเจนน่าเป็นเมื่อเธอรู้จักกับปาน เธอรู้สึกร่าเริง ความรู้สึกสิ้นหวังดูอันตรธานไปจนหมดสิ้น

ปานเป็นผู้ทำให้ไฟในหัวใจของเธอลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ทำให้ความสดชื่นทั้งหลายทั้งปวงกลับคืนมาสู่หัวใจที่แห้งผาก หลังจากนั้นเป็นต้นมา เธอไม่สามารถรู้หัวใจตัวเองว่ารัก หรือเพียงต้องอัธยาศัยเท่านั้น แม้หลังบอกรักเขาเมื่อเขาขอความรักจากเธอ เธอเองยังไม่แน่ใจอีกนั่นแหละว่าเป็นอย่างนั้นหรือไม่

จงจิตรู้แต่เพียงว่า หลังจากที่หัวใจของเธอเข้าสู่ภาวะปกติ ดวงตาเปิดกว้างขึ้น เธอเริ่มมองปานอย่างถ้วนถี่ ทุกซอกทุกมุมก็ว่าได้

ปานเป็นผู้ชายที่เก็บความรู้สึก พร้อมแสดงความรู้สึกจริงใจออกมาทุกขณะไม่ว่ากับใคร เข้าใจชีวิต และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี มีคำพูดจูงใจผู้ร่วมสนทนาให้คล้อยตามในเหตุผลเกือบทุกปัญหา มองโลกในแง่ดีเสมอ ระมัดระวังในการคบคน และสันโดษ การแต่งกายไม่แน่นอน แล้วแต่อารมณ์ มีรสนิยมพอควร ไม่ถึงกับล้าสมัย หยิบฉวยสิ่งที่มีอยู่เช่นเสื้อผ้าให้เข้ากับสถานการณ์เป็นอย่างดี

ส่วนที่เห็นว่าน่าหนักใจบ้าง คือการดื่มเหล้าไม่ยั้งคอ เคยเมาใส่เธอสองครั้งอย่างรุนแรง แต่พอรุ่งเช้ามาสำออยตาปรอยอมโศก สารภาพผิด ทำน่ารัก

เพศสัมพันธ์ – โรแมนติกพอสมควร แต่คงเป็นเพราะ – ผมไม่เคยกับผู้หญิงที่ผมรัก ส่วนใหญ่มักเลิกกันก่อนที่จะมีอะไรต่อกัน ไม่ผมห่างจากเขา เขาก็ห่างจากผม – จึงทำให้ค่อนข้างบุ่มบ่ามไปสักหน่อย

แล้วทำไมเธอจึงผละจากเขา จงจิตเองไม่สามารถชี้ลงไปให้แน่ชัดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นเหตุ ที่แน่นอน เหตุหนึ่งน่าจะเป็นการผลักดันจากพ่อแม่ของเธอตามที่เขียนจดหมายถึงเขา

ปานดีเกินไปสำหรับเธอที่หัวใจเคยแหลกสลายมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาไม่พูดถึงเรื่องที่ผ่านมาของเธอสักครั้งเดียว แม้เธอจะพูดให้เขาฟังจนหมดสิ้น-เรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะไปรื้อฟื้น หรือเอาใจใส่หยิบมันขึ้นมาอีก ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี ความรักครั้งแรก ความรักที่ฝังตัวมานานจนเกือบถึงจุดหมายปลายทาง ต้องมาอับปางลงต่อหน้าต่อตาเสียก่อนเช่นนี้ คุณมีสิทธิ์ระลึกถึงอดีตได้ แต่อย่าไปกังวลกับมัน ขังมันไว้ในความทรงจำ ไม่ต้องลืม ปัจจุบันคือเรื่องที่ต้องทำต่อไปให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ – แล้วเขาก็สรรหาเรื่องอื่นมาพูดให้เธอคลายความหลังเกือบสิ้นเชิงในเวลาต่อมา

หลังจากปานรู้เรื่องเธอจนหมดสิ้น และปลอบให้คลายทุกข์ เขายังบอกกับเธอด้วยว่า ไม่ต้องห่วงเขา หากมีใครอื่นอีกที่ดีกว่า – ผมยินดีเสมอ ถ้าคุณพบใครที่ดีกว่า หรือเหมาะสมกับคุณ ผมเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่พบและรักคุณเท่านั้น คุณไม่จำเป็นต้องรักตอบผมก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้นก็หมายความว่า ผมรักคุณข้างเดียว มันก็จบกัน ผมคงต้องเสาะแสวงหาผู้หญิงที่ผมรักและเธอรักผมต่อไป แต่เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป ขอให้เชื่อเถอะว่า ผมทำใจได้ เพียงคุณบอกว่าไม่รักผมเท่านั้น ไม่ต้องกลัวว่าผมจะชอกช้ำหรืออะไรทำนองนั้นทั้งสิ้น ผมผ่านมาพอสำหรับเรื่องอย่างนี้

– ใช่แต่เท่านั้น ปานให้เวลาเธอในการตัดสินใจเมื่อเขาเอ่ยปากบอกรัก ขอความรักจากเธอ – อย่าเพิ่งตอบผมเดี๋ยวนี้ กลับไปคิดให้รอบคอบก่อน เพราะผมจะจริงจังกับคำตอบมาก เวลาของความรักและการแต่งงานของผมเหลือน้อยแล้ว ผมไม่อยากพบกับความผิดหวังอีก – แต่แล้วเธอก็ทำให้เขาผิดหวังจนได้

ผิดหวังขนาดต้องหันเข้าหาผ้าเหลืองให้สงบกายสงบใจ

จงจิตคิดถึงการตัดสินใจของเธอแล้วยังอดสะท้อนใจไม่ได้

การกลับบ้านที่กรุงเทพฯ เมื่อกลางปีที่ผ่านมา มีผลอย่างมากสำหรับชีวิตเธอ

“ลูกเมย แม่อยากจะพูดอะไรกับลูกสักหน่อย” แม่เอ่ยกับเธอ เรียกให้เธอเข้าไปคุยในห้องสองคน

เมื่อเข้าห้องเรียบร้อย แม่ปิดประตูห้องใม่ให้ใครอื่นเข้ามายุ่มย่าม แล้วนั่งข้างเธอ มองหน้า ถอนหายใจ

“เรื่องนี้เป็นเรื่องของลูกโดยตรง แต่ก็เกี่ยวกับพ่อแม่… แม่จะถือการตัดสินใจของลูกเป็นสำคัญ แม่ไม่ต้องการให้ลูกเมยต้องลำบากใจภายหลัง… ฟังแม่พูดให้จบก่อน แล้วไปคิดดูให้ดี อย่าผลีผลาม เป็นเรื่องของชีวิตและอนาคต ต้องรอบคอบ” แม่พูดอารัมภบทยาว พลางมองหน้าเธอจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“เรื่องอุทัยใช่ไหมคะ” จงจิตถามตรงไปตรงมาอย่างที่คิดไว้แต่แรก

แม่มองหน้า พยักหน้ารับ “ใช่จ้ะ”

จงจิตรู้สึกตัวว่าเม้มปากนิดหนึ่ง ถอนหายใจสั้นๆ พยายามระงับความรู้สึกทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นช่วงนั้น

“คือเมื่อสองวันก่อนแม่ของอุทัยมาคุยกับแม่ เรื่องอุทัยนั่นแหละ เขามาทาบทามขอลูกเมยให้กับอุทัย อุทัยเองก็ชอบลูก เขาเคยไปไหนมาไหนกับลูก เห็นว่าลูกเป็นเด็กดี อยากได้เป็นสะใภ้ เราก็เห็นกันรู้จักกันมานาน อุทัยเป็นเพื่อนเมยมาตั้งแต่เด็ก เขาต้องไปเรียนเมืองนอกหลายปี… แปดปีกระมัง”

แม่ถามเหมือนฟื้นความหลัง เมื่อเธอพยักหน้ารับ จึงพูดต่อ “ที่จริงแม่ของอุทัยเคยพูดกับแม่ไว้นานแล้ว แต่แม่เห็นว่าอุทัยยังไม่กลับมา ทั้งลูกยังเรียนหนังสือ เลยบอกไปว่า เอาไว้ให้ลูกเรียนจบ อุทัยกลับมาจากนอก ให้พบกันเองเสียก่อน ค่อยพูดกันใหม่…นี่อุทัยกลับตั้งปีแล้ว ลูกก็เรียนจบทำงานทำการเป็นผู้ใหญ่”

จงจิตพยายามซ่อนความรู้สึกที่โหมประดังเข้ามา เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าดีใจหรือเสียใจ

อุทัยกับเธอเป็นเพื่อนบ้านมาตั้งแต่เด็ก สนิทกันมากกว่าเด็กผู้ชายคนอื่น เขาเป็นเด็กร่าเริง อายุมากกว่าเธอเพียงสองปี ทั้งสองคบหาเป็นเพื่อนจนอุทัยเรียนจบชั้น ม.ศ.3 แม่ส่งไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา ให้ไปอยู่กับน้าชายซึ่งเป็นข้าราชการสถานทูตที่นั่น การติดต่อจึงห่างเหินไปจนในที่สุดเกือบไม่มีการติดต่อกันอีก

เมื่อจงจิตเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยสองปีจากนั้น เธอมีภาสกรซึ่งเรียนก่อนเธอสองปีเข้ามาในหัวใจตั้งแเต่เรียนปีแรกถึงปีสุดท้าย หลังจากเธอเรียนจบได้ปีหนึ่ง ก็มีอันให้ต้องระหนระเหมาอยู่ที่บ้านเด่นอุดม

ช่วงนี้ ปานเข้ามาในวิถีชีวิต ยังไม่ทันได้ตัดสินใจอะไร อุทัยกลับจากสหรัฐอเมริกา ได้พบกับเธอ เที่ยวเตร่กันสองสามครั้ง อุทัยพูดถึงการแต่งงาน แต่ไม่เคยบอกรัก ยังพูดเสมออยากให้เธอกลับมาอยู่กรุงเทพฯ

– ไปอยู่ไกลอย่างนั้น ผมจะมีเวลาที่ไหนได้คุยกับคุณบ่อยๆ งานบริษัทคุณพ่อคงปลีกเวลายาก ผมเองต้องศึกษางานอีกมาก มาอยู่กรุงเทพฯ จะได้พบกันทุกวัน

แล้วปานล่ะ จงจิตคิดวูบขึ้นมาในใจ