จดหมาย

จดหมาย

 

• ถึงผู้เป็นใหญ่ (1)

“ผู้ใหญ่” ควรให้ “เด็ก”

ตั้งแต่เล็กด้วย “ใจพระ”

เมื่อผู้ใหญ่เสียสละ

ชาติจึงวัฒนะ – รุ่งเรือง

ความหวังอยู่ที่เด็ก

ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่

วันนี้บ้านเมืองไทย

“ผู้เป็นใหญ่” ต้องให้ “เด็ก”

(เด็กผู้ไร้เดียงสา

ต้องใช้เวลาบ่มเพาะ)

“ผู้ใหญ่สังคมเปราะ

พาลทะเลาะต่อตีเด็ก”…

โอละพ่อ … หนอโลก

วิปโยค “ประเทศไทย”

เด็กไม่ทันเติบใหญ่

มีอันเป็นไปด้วย “ใจมาร”

“เด็ก” ตายเพราะ “กฎหมาย”

ผู้ทำลายได้ไปต่อ

น้ำลดจึงเห็นตอ

ผู้ใดหนอ? ก่อเวรกรรม

“ผู้เป็นใหญ่” ไม่เคยพอ

ใครเล่าหนอ? รอรับกรรม…

สงกรานต์ บ้านป่าอักษร

 

สงกรานต์ บ้านป่าอักษร

ระรัวความรู้สึกมาต่อเนื่อง 3 สัปดาห์

ยินดีให้พื้นที่

ล่าสุดคือ “ความตาย”

ความตายของ “อนาคตของชาติ”

ที่ “ผู้เป็นใหญ่” ในประเทศ

ควรรู้สึกรู้สม ตระหนักรู้ และเร่งแก้ไข

มิใช่มองเป็นเพียงเรื่องเด็กดื้อ และ “ไม่เดียงสา”

• ถึงผู้เป็นใหญ่ (2)

สืบเนื่องจากการเสียชีวิตของเนติพร เสน่ห์สังคม หรือ “บุ้ง” นักกิจกรรมฝ่ายประชาธิปไตยชาวไทย ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 หลังประท้วงด้วยการอดอาหารอย่างยาวนานระหว่างถูกควบคุมตัว

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการเสียชีวิตของเนติพร

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นสัญญาณเตือนว่า ทางการไทยใช้วิธีการปฏิเสธเพื่อไม่ให้นักกิจกรรมฝ่ายประชาธิปไตยได้รับเสรีภาพ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำที่ชัดเจนว่า มีความพยายามปิดปากการใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกโดยสงบของผู้เห็นต่าง ซึ่งปัจจุบันหลายคนยังคงถูกควบคุมตัว และถูกปฏิเสธสิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว”

“เหตุการณ์ที่น่าเศร้าเช่นนี้ ควรเป็นสัญญาณเตือนถึงทางการไทยให้ทบทวนและยุติการดำเนินคดี และปล่อยตัวนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทุกคน รวมทั้งผู้ที่ถูกคุมขังอย่างไม่เป็นธรรม”

“และต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ได้รับมานานแล้วจากผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ ที่เรียกร้องให้รัฐบาลไทยคุ้มครองสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ รวมถึงต้องยุติการดำเนินคดีที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและการควบคุมตัวโดยพลการ”

“บุ้ง เนติพร นักกิจกรรมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยคนอื่นที่ถูกควบคุมตัว ตัดสินใจเสี่ยงชีวิตอดอาหารประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิในเสรีภาพของตัวเองจากทางการ ที่ปฏิเสธสิทธิมนุษยชนของพวกเขาอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าเศร้า”

“รัฐบาลไทยต้องดำเนินการสอบสวนถึงเหตุการเสียชีวิตของบุ้ง เนติพร โดยทันที อย่างเป็นอิสระ รวมถึงหาแนวทางในการป้องกันเหตุดังกล่าวไม่ให้เกิดขึ้นอีก ตามกฎหมายระหว่างประเทศทางการไทยต้องรับประกันสิทธิที่จะมีชีวิตและมีสุขภาพดีของผู้อดอาหารประท้วง เช่นเดียวกับผู้ถูกควบคุมตัวคนอื่นๆ ที่อยู่ในเรือนจำ”

“เราขอให้ประชาคมโลกเรียกร้องถึงรัฐบาลไทย ให้ยุติการปราบปรามอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง รวมทั้งเรียกร้องให้หยุดการปฏิเสธสิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว” ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าว

อนึ่ง ทางการไทยได้สั่งปราบปรามอย่างกว้างขวางต่อการชุมนุมประท้วงโดยสงบ รวมถึงทางออนไลน์นับตั้งแต่มีการชุมนุมประท้วงเรียกร้องการปฏิรูปเพื่อประชาธิปไตยโดยสงบ ที่เริ่มต้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2563

เจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายที่มีเนื้อหาคลุมเครือเกี่ยวกับความมั่นคง สถาบันกษัตริย์ และความผิดทางคอมพิวเตอร์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการปราบปราม และมีการตีความว่าการใช้สิทธิมนุษยชนโดยสงบ เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ หรือเป็นความผิดต่อสถาบันกษัตริย์

แกนนำผู้ชุมนุมประท้วงถูกควบคุมตัวระหว่างการพิจารณาคดีเป็นเวลาหลายเดือน มีการปฏิเสธสิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หรือบังคับให้ยอมรับเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งเป็นการจำกัดอย่างเข้มงวดต่อสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับเสรีภาพด้านการเดินทาง การแสดงออก และการชุมนุมประท้วงโดยสงบ ทางการไทยยังคงใช้กระบวนการยุติธรรมคุกคามประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรมที่ถูกมองว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากรัฐมากขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาชาติ ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเสรีภาพด้านความคิดเห็นและการแสดงออก ผู้รายงานพิเศษว่าด้วยสิทธิในเสรีภาพการชุมนุมประท้วงโดยสงบและการสมาคม และคณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการ รวมทั้งรัฐบาลทุกประเทศที่เข้าร่วมการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนตามวาระกระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน (Universal Periodic Reviews หรือ UPR) ได้เรียกร้องมาอย่างยาวนานให้รัฐบาลไทยยุติการควบคุมตัวบุคคลโดยพลการ และการใช้คำสั่งจนเกินขอบเขตเพื่อควบคุมการใช้สิทธิมนุษยชนโดยสงบทั้งในด้านเสรีภาพในการเดินทางและการชุมนุมประท้วงโดยสงบ

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

 

ข้อเรียกร้อง จาก “ขาประจำ” อย่าง “แอมเนสตี้ฯ”

ในสายตา “ผู้เป็นใหญ่” ในประเทศ

อาจดูเหมือนซ้ำซาก

แต่เป็นความซ้ำซาก ซึ่งที่สุดแล้ว

ต้องเปิดหู เปิดตา เปิดใจ

รับฟัง •